- Details
- Category: เกษตร
- Published: Saturday, 29 April 2017 12:45
- Hits: 5066
IRCo ชี้ เก็งกำไรเกินควร ส่งผลต่อราคายางแกว่ง พร้อม เตรียมแนวทางสร้างเสถียรภาพราคายางของ 3 ประเทศผู้ผลิตร่วมกัน หวังประโยชน์สูงสุดทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
IRCo เผยผลประชุมครั้งล่าสุด ปัจจัยพื้นฐานทั้งความต้องการใช้ยางของประเทศผู้ซื้อ และปริมาณยางของประเทศผู้ผลิตอยู่ในทิศทางบวก การแกว่งของราคายางในช่วงที่ผ่านมา ผลจากการเก็งกำไรเกินควร กระทบต่อราคายาง เตรียมเฝ้าระวังราคาตลาดโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมเสนอแนวทางสร้างเสถียรภาพราคายาง เพื่อประโยชน์สูงสุดทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัทร่วมทุนยางพารานานาชาติ (The International Rubber Consortium : IRCo) แถลงผลการประชุม IRCo ในครั้งนี้ว่า ประเทศสมาชิก IRCo ประกอบด้วย ประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ได้มีการประชุมหารือร่วมกันโดยเฉพาะประเด็นการรักษาเสถียรภาพราคายาง ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ราคายางมีลักษณะของการแกว่งตัวค่อนข้างสูง ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานอยู่ในทิศทางบวก ไม่ว่าจะเป็นปริมาณยางพาราที่ลดลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสภาพอากาศโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝนตกน้ำท่วมในภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้กระทบจำนวนปริมาณของยางพาราที่ออกมาช่วงนั้น ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ของไทยมีส่วนต่อการลดปริมาณซัพพลายของยางธรรมชาติลงกว่า 10% ของโลก ประกอบกับ ในช่วงราคายางต่ำมีหลายประเทศลดปริมาณการผลิตยางลง ยกตัวอย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะมีความอ่อนไหวต่อราคา เมื่อราคายางต่ำลงทั้ง 3 ประเทศเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น หรือมีรายได้เพิ่มจากการทำอาชีพอื่น เพราะฉะนั้น ปริมาณของยางพาราในห้วงระยะเวลาในปี 2016-2017 มีปริมาณที่น้อยลงกว่าที่คาดไว้
ประธาน IRCo กล่าวเพิ่มเติมว่า หากวิเคราะห์จากปัจจัยด้านความต้องการใช้ยาง ซึ่งผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด คือ ธุรกิจยานยนต์ จะพบว่า จำนวนของยานพาหนะเพิ่มสูงขึ้น ยอดขายของประเทศผู้ผลิตเพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งในกลุ่มของประเทศในจีน ยุโรป ญี่ปุ่น พบว่ามีอัตราการเติบโตสูงขึ้นค่อนข้างมากจากเดิมที่คาดไว้ 7% เป็น 12% เช่น ประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้น 7.37% ยุโรปเพิ่มมากขึ้นถึง 8.42% ญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น 12.33% แม้ในสหรัฐอเมริกาอาจมีการย่อตัวลงเล็กน้อยคือ 1.51% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าโดยรวมปริมาณความต้องการหรือการขยายตัวของธุรกิจยานยนต์ยังมีความต้องการใช้ยางสูง ในขณะเดียวกัน GDP ของประเทศผู้ใช้ยางจากตัวเลขของ IMF มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น อเมริกา แม้จะเติบโตขึ้นเป็น 2.3% แต่ยังเพิ่มจากปีที่แล้ว 0.7% ยุโรป 1.7% ญี่ปุ่น 1.2% และอินเดียกระโดดจาก 6.8% เป็น 7.2% เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าโอกาสการเติบโตหรือความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานเรื่องของสต็อกเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ปัจจุบันอัตราส่วนของสต็อกกับการบริโภคยังอยู่ค่อนข้างต่ำ และมีโอกาสที่จะทำให้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้น โดยในเวทีการประชุมวิชาการของประเทศจีน (China Rubber Conference) พบว่า ในประเทศจีน มีอัตราการเพิ่มขึ้นของธุรกิจยานยนต์ 15.9% ซึ่งเพิ่มสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 5% ทำให้รัฐบาลจีน มีการสนับสนุนและเพิ่มแรงจูงใจด้านภาษี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น นำไปสู่ธุรกิจยานยนต์เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย ทั้งนี้ สต๊อกยางของโลกในปี 2017 มีเพียง 2.3 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ยางต่อปีมี 12.7 ล้านตัน ซึ่งโอกาสในการเก็บของสต็อกยังมีอยู่มาก
ประธาน IRCo กล่าวย้ำว่า ปัจจัยพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นดีมานต์หรือซัพพลายเป็นไปในเชิงบวก แต่สิ่งที่ทำให้เกิดราคายางแกว่งในช่วงที่ผ่านมา มาจากการเก็งกำไรจนเกินควร หากมองถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเลขที่สำคัญๆ ต่อสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ 3.6 % ขณะที่ดัชนีในเรื่องของสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมมีการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ 0.4% และยางสังเคราะห์ มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของราคาอยู่เพียง 6.7% แต่ในตลาดยางกลับพบว่า มีการเก็งกำไรสูงถึง 16.6 % แสดงว่าการเก็งราคาไม่สะท้อนเรื่องปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นเรื่องการเก็งกำไรจากการสร้างกระแสให้ราคาขึ้นลงในเชิงข่าวเท่านั้น
"ณ วันนี้อุตสาหกรรมยางพารายางยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง คณะกรรมการบริหารจาก 3 ประเทศ มีความห่วงใย เกี่ยวกับตลาดที่มีการเก็งกำไรค่อนข้างสูง สะท้อนให้เห็นถึงระดับราคาที่ไม่เป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ปลูกและผู้ประกอบการ สิ่งเหล่านี้ IRCO จะทำหน้าที่เข้ามามีบทบาทในการรักษาระดับราคาให้มีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะต้นยาง 1 ต้น ใช้เวลา 7 ปีกว่าจะเติบโตและกว่าจะสามารถกรีดออกมาเป็นผลผลิตได้ ขณะที่ยางที่เป็นยางเทียมใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันในการทำการผลิต เพราะฉะนั้น ความสำคัญของยางธรรมชาติยังมีอยู่แน่นอน และยังมีความสำคัญต่อความต้องการใช้อีกมาก"
ประธาน IRCo กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะกรรมการ IRCO ที่ร่วมประชุมในครั้งนี้จะนำเสนอประเด็นเหล่านี้ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของ 3 ประเทศที่จะมีการประชุมร่วมกันในเร็วๆ นี้ เพื่อตัดสินใจแนวทางที่จะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องที่ทำให้ราคายางพารามีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การพยายามผลักดันเรื่องการซื้อขายในตลาดที่เป็นตลาดซื้อขายส่งมอบมากขึ้นแทนตลาดที่เป็นตลาดลักษณะเก็งกำไร เพื่อให้เป็นทางเลือกให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย และลดความเสี่ยงจากการเก็งกำไร ซึ่งตลาดยางพาราระดับภูมิภาค (RRM) มีความพร้อมทั้ง 3 ประเภทแล้วแต่พยายามผลักดันให้มีความเข้มแข็งขึ้นให้มากที่สุด จะสามารถช่วยแก้ปัญหาปัจจุบันได้ในระดับหนึ่ง และคณะกรรมการ IRCO มีความเห็นร่วมกันว่า จะทำการศึกษาแนวทางเพิ่มเติมในการติดตามผลของราคาหรือแนวโน้มของราคา เพื่อกำกับควบคุมให้ราคายางมีความเสถียรภาพให้มากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึง การประกาศใช้แนวทางเรื่องของการควบคุมปริมาณการส่งออกครั้งที่ 5 ด้วย อย่างไรก็ตาม จะต้องได้รับการเห็นชอบจากทั้ง 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพราะการใช้การควบคุมปริมาณการส่งออกใช้มาแล้วในปีที่ผ่านมา และได้ผลในส่วนของราคาค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นแนวทางที่จะนำกลับมาใช้ควบคุมเพื่อให้ราคายางไม่แกว่งตัวมากเกินไป