- Details
- Category: เกษตร
- Published: Friday, 26 June 2015 10:32
- Hits: 2924
ก.เกษตรฯ เกาะติดผลกระทบเศรษฐกิจโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558/59
ดร.ภูมิศักดิ์ ราศรี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พร้อมด้วย ผศ.ดร.กัมปนาท เพ็ญสุภา รองคณบดีฝ่ายวิจัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยร่วมกันว่า ทางศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร (KU - OAE Foresight Center : KOFC) ได้วิเคราะห์ถึงการดำเนินการประกันภัยข้าวนาปี ปี 2558 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั่วประเทศ 1.5 ล้านไร่ วงเงิน 476 ล้านบาท ครอบคลุมภัยธรรมชาติ 7 ประเภท ได้แก่ อุทกภัย/น้ำท่วม ฝนทิ้งช่วง วาตภัย ภัยแล้ง อากาศหนาว/ลูกเห็บ อัคคีภัย และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด ซึ่งแบ่งเป็น 5 พื้นที่ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำมากที่สุด เสี่ยงต่ำมาก เสี่ยงต่ำ เสี่ยงปานกลาง และเสี่ยงสูง โดยจัดเก็บเบี้ยในอัตราที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 124.12 บาท ถึง 483.64 บาท ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จะรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 60 - 100 บาทต่อไร่ และรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลือ 64.12 – 383.64 บาทต่อไร่ ตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2558 โดยให้ ธ.ก.ส. ทำหน้าที่ผู้บริหารโครงการ เป็นหน่วยงานประสานระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยเอกชน และให้ทดลองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลไปก่อน โดยรัฐบาลจะตั้งงบประมาณจ่ายในส่วนเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยดังกล่าวตามที่จ่ายจริง พร้อมด้วยค่าชดเชยต้นทุนเงินให้กับ ธ.ก.ส. ในปีงบประมาณถัดไป
ขณะนี้ มีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ 7 บริษัท ได้แก่ (1) บมจ. กรุงเทพประกันภัย (2) บมจ. เจ้าพระยาประกันภัย (3) บมจ. ทิพยประกันภัย(4) บมจ. นวกิจประกันภัย (5) บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (6) บมจ. ทูนประกันภัย และ (7) บมจ. วิริยะประกันภัย ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ภาคเอกชนเป็นผู้รับประกันภัยตลอดช่วงการเพาะปลูกสำหรับภัยธรรมชาติ 6 ประเภทดังกล่าว วงเงินความคุ้มครอง 1,111 บาทต่อไร่ และสำหรับภัยศัตรูพืชและโรคระบาดวงเงินความคุ้มครอง 555 บาทต่อไร่ โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายการเอาประกันภัยทั่วประเทศเป็นจำนวน 1.5 ล้านไร่ ซึ่งระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ เริ่มขายกรมธรรม์ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม – 14 สิงหาคม 2558 สำหรับทุกภาค ยกเว้นภาคใต้สิ้นสุดการรับทำประกันภัยในวันที่ 11 ธันวาคม 2558ซึ่งปัจจุบันนี้โครงการยังมีการดำเนินการอยู่
สำหรับ การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558/59 ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยที่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้เอาประกันภัยธรรมชาติ สามารถวิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) 4 ส่วน ประกอบด้วย รัฐบาล ผู้บริหารโครงการฯ (ธ.ก.ส.) บริษัทผู้รับประกันภัย และเกษตรกร (ตาราง 1) พบว่า
รัฐบาล เป็นผู้อุดหนุนเบี้ยประกันภัยให้เกษตรกร โดยพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำที่สุด ช่วยเหลือ 4.07 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก ช่วยเหลือ 32.15 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงต่ำ ช่วยเหลือ 102.75 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงปานกลาง ช่วยเหลือ 144.40 ล้านบาท และพื้นที่เสี่ยงสูง ช่วยเหลือ 180.62 ล้านบาท รวมเงินช่วยเหลือ 463.97 ล้านบาท ส่วนผู้บริหารโครงการฯ (ธ.ก.ส.) ทดลองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลโดยขอชดเชยเงินจากรัฐบาลในส่วนของเงินอุดหนุนเบี้ยประกันภัยตามจำนวนที่จ่ายจริง วงเงินไม่เกิน 268.01 ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ FDR+1% ซึ่งคำนวณในเบื้องต้น ธ.ก.ส. จะได้รับค่าชดเชยดอกเบี้ยจากโครงการฯ จำนวน 5.75 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทผู้รับประกันภัยหรือบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ จ่ายสินไหมทดแทนแก่เกษตรกรซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย จากการประมาณการเบี้ยประกันภัยที่ผู้ประกันได้รับทั้งสิ้น 594.19 ล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำที่สุด 7.87 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก 45.66 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงต่ำ 132.61 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 180.35 ล้านบาท และพื้นที่เสี่ยงสูง ช่วยเหลือ 227.70 ล้านบาท และ เกษตรกร ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัย ในพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำที่สุดจำนวน 3.80 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก จำนวน 13.52 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงต่ำ จำนวน 29.86 ล้านบาท พื้นที่เสี่ยงปานกลาง จำนวน 35.95 ล้านบาท และพื้นที่เสี่ยงสูง จำนวน 47.08 ล้านบาท ตามลำดับ (ตาราง 1)
ตาราง 1 เบี้ยประกันที่เกษตรกรจ่าย เบี้ยผู้ประกันภัยได้รับและเงินอุดหนุนรัฐบาล
รายละเอียดโครงการ พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก พื้นที่เสี่ยงต่ำ พื้นที่เสี่ยง ปานกลาง พื้นที่เสี่ยงสูง รวม
เบี้ยประกันภัย (บาทต่อไร่) 115.00 220.00 330.00 420.00 450 -
เบี้ยประกันภัยรวมอากรแสตมป์และ 124.12 236.47 355.24 451.54 483.64 -
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (บาทต่อไร่)
เกษตรกรจ่ายเบี้ยประกันภัย (บาทต่อไร่) 60.00 70.00 80.00 90 100 -
รัฐบาลอุดหนุน (บาทต่อไร่) 64.12 166.47 275.24 361.54 383.64 -
พื้นที่เพาะปลูกรวม (3.7 ล้านครัวเรือน) (ไร่) 2,895,038.00 7,863,158.00 14,841,482.00 16,356,249.00 19,779,573.00 61,735,500.00
พื้นที่เป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ (ไร่) ปี 58 63,400.00 193,100.00 373,300.00 399,400.00 470,800.00 1,500,000.00
ค่าเบี้ยประกันเกษตรกรจ่าย (ล้านบาท) 3.80 13.52 29.86 35.95 47.08 130.21
ค่าเบี้ยประกันรัฐบาลอุดหนุน (ล้านบาท) 4.07 32.15 102.75 144.4 180.62 463.97
รวมค่าเบี้ยประกัน (ล้านบาท) 7.87 45.66 132.61 180.35 227.7
ที่มา : คำนวณโดยศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร, มิถุนายน 2558
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ถึงการประกันความเสี่ยงของเกษตรกร พบว่า เกษตรกรของพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยรวม 47 ล้านบาท และจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 523 ล้านบาท สำหรับภัย 6 ประเภท เพราะฉะนั้นส่วนต่างของเบี้ยที่จ่ายและค่าสินไหม จำนวน 476 ล้านบาท ขณะเดียวกันพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เกษตรกรต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยรวม 3.80 ล้านบาท และจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 70 ล้านบาท เพราะฉะนั้นส่วนต่างของเบี้ยที่จ่ายและค่าสินไหม จำนวน 66 ล้านบาท ดังนั้นภาพรวมของส่วนต่างที่เกษตรกรได้รับจากการเข้าร่วมโครงการรวมทุกพื้นที่จำนวน 1,536 ล้านบาท และ จำนวน 702 ล้านบาท ตามลำดับของภัยพิบัติแต่ละประเภทนั่นเอง (ตาราง 2)
ตาราง 2 มูลค่าของรายได้ที่เกษตรกร จะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558/59
รายละเอียดโครงการ พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก พื้นที่เสี่ยงต่ำ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง พื้นที่เสี่ยงสูง รวมทั้งสิ้น
ค่าเบี้ยประกันของเกษตรกร
เกษตรกรจ่ายเบี้ยประกันภัย (บาทต่อไร่) 60 70 80 90 100 -
พื้นที่เป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ (ไร่) ปีการผลิต 2558 63,400.00 193,100.00 373,300.00 399,400.00 470,800.00 1,500,000.00
มูลค่าเบี้ยประกันที่เกษตรกรจ่าย (ล้านบาท) 3.8 13.52 29.86 35.95 47.08 130.21
ค่าสินไหมทดแทนกรณีเกิดภัยพิบัติ (ล้านบาท)
ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากภัย 6 ประเภท* 70.44 214.53 414.74 443.73 523.06 1,666.50
ค่าสินไหมทดแทนเกิดจากภัยศัตรูพืชและโรคระบาด 35.19 107.17 207.18 221.67 261.29 832.5
ส่วนต่างที่เกษตรได้รับ (ล้านบาท)
ส่วนต่างจากการประกันภัย 6 ประเภท* 66.63 201.02 384.87 407.79 475.98 1,536.29
ส่วนต่างจากการประกันภัยศัตรูพืชและโรคระบาด 31.38 93.65 177.32 185.72 214.21 702.29
ที่มา : คำนวณโดยศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร2558
หมายเหตุ : * ภัย 6 ประเภท คือ อุทกภัย/น้ำท่วม ฝนทิ้งช่วง วาตภัย ภัยแล้ง อากาศหนาว/ลูกเห็บ และอัคคีภัย
สำหรับ ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงปัจจุบัน พบว่า การดำเนินการประกันภัยไปแล้วทุกพื้นที่ความเสี่ยง รวมจำนวนพื้นที่ทั้งหมด 0.29 ล้านไร่ ค่าเบี้ยประกันรวม 128 ล้านบาท เกษตรกรจำนวน 3.1 หมื่นรายที่เข้าร่วมโครงการและมีพื้นที่ร้อยละ 19.67 ของพื้นที่เป้าหมายรวม (ตาราง 3)
ตาราง 3 พื้นที่เป้าหมาย จำนวนเกษตรกร เบี้ยประกันของเกษตรกรและเบี้ยประกันที่รัฐบาลจ่ายสมทบ
รายการ พื้นที่เป้าหมาย เกษตรกร เนื้อที่ เบี้ยประกัน ค่าเบี้ยประกันภัยที่รัฐบาลสมทบ (บาท) ผลการดำเนินงานต่อเป้าหมาย
(ราย) (ไร่) (บาท) (ร้อยละของพื้นที่)
(ไร่)
พื้นที่เสี่ยงสูง (สีแดง) 470,800.00 16,115.00 147,378.00 71,227,284.10 56,495,374.10 31.3
พื้นที่เสี่ยงปานกลาง (สีเหลือง) 399,400.00 7,379.00 75,649.25 34,158,915.12 27,334,715.12 18.94
พื้นที่เสี่ยงต่ำ (สีเขียวเข้ม) 373,300.00 5,411.00 49,398.00 17,612,769.92 13,645,484.92 13.23
พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก (สี่เขียว) 193,100.00 2,538.00 20,351.75 4,823,206.37 3,397,501.37 10.54
พื้นที่เสี่ยยงต่ำที่สุด (สีเขียวอ่อน) 63,400.00 344 2,273.75 296,743.87 158,713.87 3.59
รวม 1,500,000.00 31,787.00 295,050.75 128,118,919.38 101,031,789.38 19.67
ที่มา: ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 2558
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการบริการจัดการผลกระทบที่มีต่อโครงการและ/หรือ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงรายละเอียดโครงการ และเงื่อนไขในการทำประกันภัยให้ชัดเจนแก่เกษตรกร เพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ และมีการบูรณาการการประเมินพื้นที่เสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้มีความคิดเห็นร่วมกัน รวมถึงการขยายประเภทของสินค้าเกษตรที่ทำประกันภัย และควรมีการพิจารณาขยายประเภทของสินค้าเกษตรให้เพิ่มมากขึ้น เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าเกษตรอื่นๆ เป็นต้น เพื่อให้สามารถประกันภัยความเสี่ยงจากธรรมชาติได้ด้วย อีกทั้งมูลค่าเบี้ยที่ทำประกันโดยบริษัทประกันภัยดำเนินการนั้น จะต้องพิจารณาถึงเบี้ยประกันที่แท้จริงควรอยู่ที่ระดับใด หากว่ารัฐบาลไม่เข้าไปอุดหนุน (subsidy) เพื่อทำให้โครงการนี้สามารถขับเคลื่อนไปอย่างยั่งยืน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย