- Details
- Category: เกษตร
- Published: Wednesday, 04 February 2015 23:54
- Hits: 2688
'ปีติพงศ์'จ่อถกแบงก์ชาติ เข้มสหกรณ์ออมทรัพย์ตรวจเครดิตบูโร
แนวหน้า : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรฯ เปิดเผยว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดกรณีที่กระทบความเชื่อมั่นต่อระบบสหกรณ์อย่างมากเช่นสหกรณ์ออมทรัพย์ครูในภาคอีสาน นำเงินไปลงทุนในแชร์ล็อตเตอรี่ และเหตุการณ์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนยั่งเชื่อมั่นสหกรณ์ โดยได้วางแนวทาง 3 ด้าน คือ การป้องกันปัญหา โดยการส่งเสริมธรรมาภิบาล การเฝ้าระวัง โดยให้เจ้าหน้าที่เคร่งครัดการใช้กฎหมาย และการเยียวยา โดยให้ตรวจสอบกองทุนรักษาเสถียรภาพและสภาพคล่อง โดยการใช้เงินในกองทุนจะต้องเป็นไปตามกฎหมายห้ามนำออกไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น เช่นนำออกไปปล่อยกู้ เพราะหากสหกรณ์เกิดมีปัญหาก็จะทำให้ไม่มีแหล่งเงินมารองรับ จากการสำรวจสถานการณ์สหกรณ์ทั้งระบบของประเทศไทยพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนสหกรณ์ทั่วประเทศ 8,161 แห่ง มีจำนวนสมาชิกรวม 11.27 ล้านครัวเรือน โดยทั้งหมดนี้มีมูลค่าธุรกิจหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้นประมาณ 2.25 ล้านล้านบาท หรือ 16.48% ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) และในจำนวนนี้แบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจของสหกรณ์ออมทรัพย์รวมประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท และของสหกรณ์ประเภทอื่นๆ อีกประมาณ 650,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การทำธุรกิจรับฝากเงินและปล่อยเงินกู้ คล้ายกับธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จะวางมาตรการควบคุมให้เข้มข้น จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อรับฟังแนวทางการควบคุมสหกรณ์ให้เข้มงวด เช่นจะต้องเข้าสู่ระบบเครดิตบูโรหรือไม่ การออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของธปท.หรือไม่ ส่วนแนวคิดการโอนสหกรณ์ไปอยู่ในความดูแลของธปท. หรือกระทรวงการคลังนั้น มองว่าคงไม่ได้ เพราะหลักการของสถาบันการเงินพาณิชย์ ขัดกับหลักของสหกรณ์โดยสิ้นเชิง ซึ่งจากนี้ไปต้องมีการศึกษาให้ชัดเจน โดยต้องมีการปรับระบบให้ชัดเจนและไม่ทิ้งวัตุประสงค์ ของความเป็นสหกรณณ์ ที่ต้องพึ่งพากันซึ่งกันและกัน ?เพราะเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงต้องอยู่ในหัวใจคนไทยทุกคน เนื่องจากที่ผ่านมาเหตุที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ทั้งหมดที่เป็นปัญหาจนถึงขณะนี้ที่คนไทยเผชิญ ในทุกเรื่องเกิดจากไม่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
นายปีติพงศ์ กล่าวว่า สำหรับสหกรณ์อื่นๆ โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตร รัฐบาลได้ตั้งความหวังเอาไว้มาก โดยเฉพาะการช่วยเหลือสมาชิก โดยการรับซื้อสินค้าเกษตรในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด คือ ข้าวและยางพารา แต่สหกรณ์มีการซื้อได้ไม่มากเพียง 20% ของผลผลิตทั้งหมด จึงให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ประชุมสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศจัดทำแผนส่งเสริมสหกรณ์การเกษตรให้รวบรวมสินค้าเกษตรได้มากขึ้น โดยเฉพาะยางพารา ต้องรวบวมข้อมูลยางภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก พร้อมแผนรับซื้อน้ำยางดิบ ต้องถึงตัวเกษตรกรโดยตรงโดยนำแผนกลับมาเสนอตนภายใน 1 สัปดาห์
ด้านนาย โอภาส กลั่นบุศ อธิบดีกรมส่งเสริมหากรณ์ กล่าวว่า เบื้องต้นเท่าที่มีการตรวจสอบสหกรณ์?ที่เกี่ยวข้อของเรื่องการเงิน มีประมาณ3,000 สหกรณ์?วงเงินหมุนเวียน กว่า 1.6 ล้าน ล้านบาท โดยจากการศึกษาพบว่าการที่จะให้สหกรณ? ไปดำเนินการเหมือนสถาบันการเงินนั้นยังไม่สามารถทำได้ เพราะขัดกับหลักสหกรณ์ ซึ่งทำธุรกิจเหมือนธนาคารไม่ได้ โดยอาจจะต้องมีการศึกษาที่ชัดเจน ขณะนี้มีเงินฝากทั้งภาคการเกษตรและออมทรัพย์ กว่า6 แสนล้านบาท ต้องศึกษาให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนดำเนินการของกรมส่งเริมสหกรณ์ นั้นจากนี้ตนจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปแนะนำให้มีการดำเนินการตามกรอบและวัตถุประสงค์ ของการจัดตั้งสหรกรณ์ เพื่อสร้างความเชื่อมันและอาจจะมีการตรวจสอบให้มากขึ้น โดยเฉพาะสหกรณ์ที่คาดว่าจะมีปัญหาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ต่อระบบสหกรณ์?ที่สามารถช่วยเหลือและพึ่งพิงกับในชุมชนให้ได้ต่อไป