- Details
- Category: เกษตร
- Published: Thursday, 25 December 2014 23:38
- Hits: 2443
'ไทย-เยอรมัน' รุกตลาดปุ๋ย
บ้านเมือง : 'ไทย-เยอรมัน'วางเกมรุกครั้งยิ่งใหญ่ใส่เกียร์เดินหน้าบุกรุกผลิตภัณฑ์การเกษตรเต็มกำลัง ย้ำชัดเน้นคุณภาพสินค้าเป็นหลัก เดินเกมรุกจัดกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่องโปรโมทผ่านแบรนด์วาฬน้ำ ฝั่งปุ๋ยบัวทิพย์โหมโปรโมชั่นต่อเนื่องหวังครองเจ้าตลาดปุ๋ยอินทรีย์ เกาะกระแสเกษตรฟีเวอร์ปีหน้าคาดโต 40%
นายวุฒิพงศ์ วนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย-เยอรมัน อินเตอร์เทค โปรดักส์ จำกัด (TGI) เปิดเผยว่า "TGI" ถือเป็นบริษัทเครือข่ายเกษตรที่ผลิต "ไคโตซาน" ที่ใช้กับพืชและสัตว์ ในตราสัญลักษณ์ "บลูเวล" หรือ "วาฬน้ำเงิน" ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้คนจนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ
สำหรับปีนี้ บริษัทฯ มีการเพิ่มกำลังผลิต โดยการขยายพื้นที่ตั้งโรงงานที่มหาชัยขึ้น เนื่องจากสินค้าของบริษัทฯ มีนวัตกรรมในการทำปุ๋ยทีทีเอ็นซึ่งเป็นรายแรกที่ทำเป็นระบบพ่นเม็ด โดยเริ่มผลิตมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และปัจจุบันบริษัทฯ เริ่มสร้างโกดังที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ถือเป็นเป็นศูนย์กลางและเป็นแหล่งโลจิสติกส์ที่สำคัญ โดยเฉพาะลูกค้าที่มาจากทางภาคอีสานสามารถเดินทางเข้ามาได้ทาง อ.หินกอง จ.สระบุรี และลูกค้าที่มาทางเหนือก็จะเข้าถนนสายเอเชีย โดยตรงนั้นก็เป็นแหล่งปุ๋ย โรงปุ๋ย ถ่านหิน มันสำปะหลัง แป้งมัน และมีความสะดวกทั้งทางรถ ทางเรือและยังมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมโดยเปลี่ยนจากการเดินทาง ทางเรือเป็นการเดินทางด้วยรถไฟอีกด้วย
"ถือปีนี้เป็นปีที่เราก้าวย่างสู่ปีที่ 6 ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกที่ทำงานประมาณ 20,000-30,000 คน แม้สมาชิกจะไม่ได้เป็น MLM เหมือนบริษัทอื่น แต่คนที่สนใจจะเป็นพนักงานและสมาชิกใหม่ สินค้าหลักๆ จะเป็นสินค้าเกษตร อย่างไคโตซาน และตัวปุ๋ยน้ำ ซึ่งสินค้าเกษตรต้องมีใบอนุญาตสาเหตุหลัก เราจึงมีการบริหารโดยการให้ศูนย์ที่มีสินค้าในสต๊อกให้มีใบอนุญาต"
นายวุฒิพงศ์ กล่าวต่อว่า สินค้าเกษตรไม่ว่าที่ไหนก็สามารถทำได้ ทุกคนสามารถทำได้โดยต้องมีสินค้าที่มีคุณภาพ มีการอบรม การจัดจำหน่ายที่ดี ซึ่งถ้านำเอาทุกอย่างมารวมกันแล้วพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและสามารถที่จะแจ้งเกิดได้ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีข้อจำกัดในเรื่องกำลังการผลิตสินค้าเกษตร ช่วงแล้งก็ไม่มียอดขาย ช่วงฝนตกก็ไม่พอขาย สินค้าเกษตรจะต้องมีทุนหมุนเวียนในการสต๊อกสินค้า โดยบริษัทมีศูนย์สมาชิกที่กระจายมากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ
โดยสมาชิกที่จะเปิดสาขาต้องมีเงื่อนไขว่า จะต้องมีพื้นที่ มีอุปกรณ์บริการสมาชิก คอมพิวเตอร์ และต้องซื้อเพื่อสต๊อกสินค้าโดยที่บริษัทไม่มีการเรียกเก็บค่ามัดจำ โดยตั้งไว้ประมาณ 2 แสนกว่าบาทสำหรับการลงทุนเปิดสาขาเตรียมความพร้อมในการบุกตลาด AEC ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วย ซึ่งในส่วนของเขตชายแดนได้มีการเข้าไปขยายงานเพิ่มมากขึ้นทั้งกัมพูชา ลาว โดยได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามหลักการ ระเบียบ เพื่อให้สามารถขนถ่ายย้ายสินค้าได้ง่ายขึ้น
"แผนงานต่อไปจะมีสินค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น และการอบรมเทรนนิ่ง และต้องลงพื้นที่ด้วย ประการสำคัญเรามีโรงงานผลิตสินค้าเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้เปรียบเพราะว่าสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ และอีกอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจขายตรงนี้แผนธุรกิจต้องมีความพอดี สินค้าต้องดีต้องมีการพัฒนา เพราะจุดเด่นของเราเน้นในเรื่องคุณภาพ"
สำหรับ อัตราการเจริญเติบโตของบริษัทฯ นั้น ปัจจุบันยอดขายจะโตมากที่ภาคอีสาน 40% กับภาคใต้ 40% และภาคกลาง ภาคอื่นๆ 20% คาดว่าปีหน้าน่าจะโตสัก 30-40% เนื่องจากบริษัทฯ ขยายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น และมีช่องทางในกาจัดจำหน่ายและมีการออกสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าปีนี้ยอดขายบริษัทฯ ตก จากเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 150 ล้านบาท แต่สิ้นปีคาดว่าจะสามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 130 ล้านบาทเท่านั้น
"ตลาดเกษตรยังสามารถเติบโตไปได้แน่นอน แต่ทั้งนี้ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล แต่ในภาคเกษตรคนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แน่นอนที่สุดการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าใส่อินทรีย์อย่างเดียวไม่ค่อยได้ผล จริงๆ จะต้องเสริมด้วยเคมีด้วย" นายวุฒิพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย