- Details
- Category: เกษตร
- Published: Saturday, 11 March 2023 22:41
- Hits: 2171
อลงกรณ์ ชู '8 ลมใต้ปีก'สร้างโอกาสการค้าของไทยกว่า 10 ล้านล้านบาท ในตลาดอาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในโอกาสบรรยายพิเศษหัวข้อ ‘ศักยภาพและโอกาสการค้าการลงทุนของไทยในจีน-ตะวันออกกลางและอาเซียน’ ในงานสัมมนาธุรกิจ & Business Talk ณ ห้องอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ชั้น 4 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ
วันนี้ว่า ปลายปี 2565 ไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุม APEC ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคอาเซียนอย่างมาก รวมถึงการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 30 ปี ถือเป็น ‘ลมส่งท้าย’ ถึงปีนี้จะเป็น’ปีแห่งโอกาสในวิกฤติของไทย’ ทางด้านการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวของไทย เริ่มต้นปีด้วยข่าวดีเมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายการควบคุมโควิดและเปิดประเทศในเดือนมกราคม
ทั้งนี้ ภาคการเกษตรของไทยถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดแนวทางนโยบายขับเคลื่อนภาคเกษตรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทย
ภายใต้วิสัยทัศน์ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส สร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในประเทศ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรม องค์ความรู้ภูมิปัญญาไทย โดยศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ทั้ง 77 จังหวัด และศูนย์ความเป็นเลิศ AIC 23 ศูนย์
ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของการยกระดับอัพเกรดการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 และยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต บนความร่วมมือระหว่าง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์กับ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ
สำหรับ โอกาสการค้าการลงทุน ของไทยในจีน-ตะวันออกกลาง และอาเซียน ประเทศไทยถือได้ว่ามีศักยภาพสูงโดยใช้จุดแข็งของไทยที่ขอเรียกว่า’8 ลมใต้ปีก’ จะช่วยผลักดันโอกาสของไทยและหุ้นส่วนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้สำเร็จ ได้แก่
1.การฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุดิอาระเบีย สร้างระเบียงเศรษฐกิจใหม่(New Economic Corridor)ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียและอาเซียนและตะวันออกกลาง
2.รถไฟลาว-จีน เชื่อมไทย เชื่อมโลก การพัฒนาโลจิสติกส์เชื่อมการขนส่งการค้า และการลงทุนของไทยไปยังตลาดทุกมณฑลในจีน อาเซียนตะวันออกกลาง เอเซียกลาง ยุโรป และอังกฤษ เพราะการขนส่งสินค้าจะเร็วขึ้น ต้นทุนจะลดลง โดยเฉพาะอีสานเกตเวย์ และท่าเรือหวุ่งอ๋าง
3.'ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค'(RCEP) เขตการค้าเสรี (FTA) ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือศูนย์ทันทีเกือบ 30,000 รายการ ใน 14 ประเทศที่ร่วมเป็น FTA Partner ของ RCEP เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2565 โดยมีสมาชิก 15 ประเทศรวมทั้งจีน และประเทศอาเซียนซึ่งรองนายกฯจุรินทร์เป็นประธานการประชุมตั้งแต่ต้นจนบรรลุข้อตกลงRCEP
4.มินิ-เอฟทีเอ ( Mini-FTA) เป็นกลยุทธ์ใหม่เพิ่มโอกาสความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนเปิดตลาดเมืองรองในประเทศต่างๆ ปูทางสร้างโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยรัฐมนตรีพาณิชย์เดินหน้าเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองต่างๆ ในหลายประเทศเช่น ไห่หนาน กานซู และเสิ่นเจิ้นของจีน เมืองโคฟุของญี่ปุ่น เมืองเตลังกานาของอินเดีย และปูซานของเกาหลีใต้ เป็นต้น
5.FTA และ การเปิดเจรจา FTA รอบใหม่ ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีผลบังคับใช้แล้วถึง 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ทำให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นจุดหมายการลงทุนและการค้า รวมทั้งการเปิดเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป อังกฤษ EFTA และ UAE
6.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เป็นอีกปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญต่อการค้าการลงทุนในการสร้างศักยภาพเศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น โครงการรถไฟ 4 รางทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 โครงการทางหลวงระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์)
7.ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่ช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างประเทศ ล่าสุดทางการตั้งเป้าหมายลงทุนใน EEC ระยะที่ 2 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2569) วงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะแรกที่ตั้งเป้าไว้ 1.7 ล้านล้านบาท (2561-2564)
8.ฐานการค้าการลงทุนใหม่ 18 กลุ่มจังหวัด กระทรวงเกษตรฯ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมมือกันเดินหน้าโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร เพื่อกระจายการลงทุน กระจายฐานเศรษฐกิจใน18 กลุ่มจังหวัดครอบคลุม 77 จังหวัดจะมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศจากจีน อาเซียน ตะวันออกกลางและอีกหลายประเทศ มาร่วมลงทุนในโครงการนี้เช่น นิคมอุตสาหกรรมเมืองอุดรฯ ในกลุ่มอีสานตอนบน และ โครงการเพชรบุรี ฟู้ด วัลเลย์ ในกลุ่มภาคกลางตอนล่าง
สำหรับ การค้าระหว่างไทย-จีนนั้น ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของจีน จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 รวมทั้งยังเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 โดยในปี 2565 มูลค่าการค้า ไทย-จีน 134,997.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ กว่า 4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3
โดยจีนนำเข้าจากไทย 56,517.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 8.6 จีนส่งออกมาไทย 78,479.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกจีน ได้แก่ เครื่องจักร ผัก ผลไม้และธัญพืช ยางพารา พลาสติก ไม้ น้ำตาล และอลูมิเนียม ด้านปศุสัตว์ ส่งออกเนื้อไก่และผลพลอยได้มากที่สุด จำนวน 84,653 ตัน คิดเป็นมูลค่า 13,223 ล้านบาท ซึ่งจีนมีความต้องการสูง
ทางด้านการค้าอาเซียน สินค้าส่งออกหลักของไทยที่สำคัญ คือ น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์ และส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับมูลค่าการค้าในปี 2565 รวม 4,351,095.32 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.9 มูลค่าส่งออก 2,490,999.09 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.33 มูลค่าการนำเข้า 1,860,096.23 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.52 ด้านปศุสัตว์ ไทยเป็นประเทศชั้นนำในการผลิตผลิตภัณฑ์นมของกลุ่มอาเซียน
สินค้าส่งออกหลัก คือ ผลิตภัณฑ์นม รองลงมาคือ เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ ปริมาณส่งออก 196,578 ตัน คิดเป็นมูลค่า 21,444 ล้านบาท ประเทศผู้นำเข้าสำคัญของผลิตภัณฑ์นม คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนเนื้อไก่ คือ มาเลเซีย และสิงคโปร์
ซึ่งถือเป็นตลาดสินค้าปศุสัตว์ฮาลาลที่สำคัญ และเมื่อปลายปี 2565 สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นในประเทศบูรไน และเปิดตลาดสัตว์ปีกไปยัง อินโดนีเซียประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลกและฟิลิปปินส์ด้วย
ในส่วนของการค้าตะวันออกกลาง มูลค่าการค้าปี 2565 รวม 1,581,812.29 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 61 มูลค่าส่งออก 380,029.01 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.57 มูลค่าการนำเข้า 1,201,783.28 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.16 สินค้าส่งออกหลักสำคัญ ได้แก่ 1.รถยนต์และส่วนประกอบ
2.เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ
3.ไม้และผลิตภัณฑ์
4.ข้าว
และ 5.ผลิตภัณฑ์ยาง
ด้านการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ ส่งออก 7,291.97 ตัน มูลค่า 717.34 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมการค้าของไทยในตลาดอาเซียน-จีน-ตะวันออกกลางมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท
สำหรับ งานสัมมนาธุรกิจ & Business Talk ในโอกาสครบรอบ 29 ปี จัดโดยบริษัท Vet Products Group (เวท โปรดักส์ กรุ๊ป) โดยมีนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ’พลิกโฉมสินค้าและมิติใหม่ของนวัตกรรมเกษตรไทย เพื่อแข่งขันในตลาดโลก’
โดยมี นายประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ทูตเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐทั้งไทย จีน ประเทศอาเซียน และตะวันออกกลาง รวมถึงสมาคมการค้าขายธุรกิจระหว่างประเทศ สมาคมการขนส่งระหว่างประเทศ และหน่วยงานเอกชน เข้าร่วม