- Details
- Category: เกษตร
- Published: Saturday, 06 February 2021 12:16
- Hits: 7046
เฉลิมชัย Kick off ปล่อยคาราวานเครื่องจักร-เครื่องมือ บรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปี 2563/64 ด้านปลัดเกษตรฯ รับลูกเตรียมความพร้อมมาตรการสู้ภัยแล้ง เริ่มจ้างแรงงานสร้างรายได้ แจกเมล็ดพันธุ์ช่วยเหลือเกษตรกร
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีปล่อยคาราวานเครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาภัยแล้งปี 2563/64 ณ สำนักเครื่องจักรกลกรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ว่า จากสกานการณ์ในปี 2562 ที่ผ่านมา ปริมาณฝนสะสมรวมทั้งประเทศ 1,333 มิลลิเมตร (มม.) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 225.5 มม. หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ต่อเนื่องมาจนถึง ปี 2563 มีปริมาณฝนสะสมรวมทั้งประเทศ 1,527.3 มม. ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 60.4 มม. คิดเป็นร้อยละ 4 ทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำทั้งประเทศหลายแห่ง มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย ปริมาณน้ำใช้การรวมกัน ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 (ต้นฤดูแล้ง) มีอยู่ประมาณ 23,833 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.)
ปัจจุบัน (3 กุมภาพันธ์ 2564) คงเหลือปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 20,433 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 39 ของน้ำใช้การทั้งหมด เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำใช้การรวมกัน ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 (ต้นฤดูแล้ง) ประมาณ 5,771 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 32 ของน้ำใช้การทั้งหมด ปัจจุบัน (3 ก.พ. 64) เหลือปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 4,263 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 23 ของน้ำใช้การทั้งหมด ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานได้วางแผนการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ปี 2563/64 ไว้จำนวน 17,122 ล้าน ลบ.ม. สำรองไว้ต้นฤดูฝน 8,735 ล้าน ลบ.ม. มีการใช้น้ำไปแล้ว 8,041 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 47 ของแผนจัดสรรน้ำ ซึ่งกรมชลประทานจะควบคุมการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สำหรับสถานการณ์การเพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศมีการเพาะปลูกไปแล้ว 4.26 ล้านไร่ (แผน 1.90 ล้านไร่) เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ไม่มีแผนการเพาะปลูก แต่ปัจจุบันมีการเพาะปลูกไปแล้ว 2.63 ล้านไร่ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำ ปัจจุบันในหลายพื้นที่เริ่มได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ทั้งนี้ ได้สั่งการให้โครงการชลประทานทั่วประเทศ ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ และเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 เน้นจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศให้เพียงพอ ตลอดจนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงสถานการณ์น้ำให้แก่ประชาชนรวมทั้งเกษตรกรได้รับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งเร่งกำจัดวัชพืชในแม่น้ำและคลองสาขาที่อาจจะเป็นอุปสรรคในการส่งน้ำไปยังพื้นที่ต่างๆ
“กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานได้เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักร เครื่องมือ ไว้ทั้งสิ้น 5,935 หน่วย ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ประกอบไปด้วยเครื่องสูบน้ำ 2,140 เครื่อง รถบรรทุกน้ำ 503 คัน เครื่องจักรสนับสนุนอื่น 3,292 หน่วย เพื่อให้การช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยแล้งปี 2563/64 ได้อย่างทันท่วงที และลดความเสียหายจากภาวะขาดแคลนน้ำ สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่สามารถเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้ง ได้มอบหมายกรมชลประทานได้ดำเนินโครงการจ้างแรงงานชลประทาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 สามารถจ้างแรงงานได้ 94,000 คน งบประมาณทั้งสิ้น 5,662.34 ล้านบาท ปัจจุบันมีการจ้างแรงงานไปแล้ว 8,237 คน หรือร้อยละ 9 ของแผนการจ้างงาน โดยหลักเกณฑ์การจ้างแรงงาน จะเน้นพิจารณาจ้างเกษตรกรหรือประชาชนในพื้นที่ชลประทานก่อน อาทิ เกษตรกรผู้ใช้น้ำชลประทานที่ขาดรายได้จากการทำเกษตรกรรม และหากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่ไม่เพียงพอจะพิจารณาจ้างแรงงานจากพื้นที่ใกล้เคียงตามความเหมาะสม” รมว.เกษตรฯ กล่าว
ด้าน ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านการเกษตร ในช่วงฤดูแล้ง ปี 2563/64 ซึ่งมีการประเมินความเสี่ยงและนำข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาในการจัดทำแผนฯ พร้อมทั้งติดตาม เฝ้าระวัง ประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา สถานการณ์น้ำจากกรมชลประทาน และประเมินสถานการณ์ โดยแจ้งเตือนภัยส่วนราชการในสังกัดและส่วนราชการในพื้นที่ให้เฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
สำหรับแผนป้องกันและเผชิญเหตุภัยแล้ง ได้บูรณาการแผนงาน/โครงการทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกสังกัด ที่สอดคล้องกับมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง ปี 2563/64 ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตามมติ ครม. 3 พ.ย. 63 ประกอบด้วย 3 มาตรการ ดังนี้ 1) การป้องกันและลดผลกระทบ โดยเน้นการสร้างการรับรู้เพื่อลดความเสี่ยง ประชาสัมพันธ์ผ่านทุกช่องทาง ให้คำแนะนำทางวิชาการ ลงพื้นที่และออกหน่วยให้บริการเกษตรกร ติดตามสถานการณ์น้ำทั้งในและนอกเขตชลประทาน เฝ้าระวังพื้นที่น้ำเค็มรุกสวน เป็นต้น 2) การเตรียมความพร้อม/การเผชิญเหตุ โดยจัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือต่าง ๆ (รถสูบน้ำ 55 คัน เครื่องสูบน้ำ 2,138 เครื่อง รถขุด 522 คัน เรือขุดวัชพืช 150 ลำ รถแทรกเตอร์ 442 คัน รถยนต์บรรทุกน้ำ 503 คัน) มีการสำรองปัจจัยการผลิต (เสบียงสัตว์ 5,567 ตัน ถุงยังชีพสัตว์ 3,000 ชุด เมล็ดพันธุ์พืชผัก 31,080 ซอง เมล็ดพันธุ์ข้าว 1,810 ตัน ศัตรูธรรมชาติ/จุลินทรีย์ ครอบคลุมพื้นที่ 4.11 ล้านไร่) และการบริหารสถาการณ์ในพื้นที่ และการเผชิญเหตุเฉพาะหน้าต่าง ๆ และ 3) การฟื้นฟูให้ดีกว่าเดิม โดยการช่วยเหลือเกษตรกรตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ และการประเมินมูลค่าความเสียหายในภาคการเกษตรจากภัยพิบัติ
นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้เข้าไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านภัยแล้งในหลายพื้นที่ เช่น การติดตั้งเครื่องสูบน้ำในคลองชัยนาท-ป่าสัก เพื่อส่งน้ำให้เพียงพอสำหรับการอุปโภค บริโภค พร้อมขอความร่วมมืองดการสูบน้ำเพื่อทำนารอบที่ 2 เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อีกทั้งได้นำเครื่องจักร เครื่องมือ ลงพื้นที่กำจัดวัชพืชและผักตบชวาในทางน้ำชลประทานและทางน้ำสายหลักต่าง ๆ ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน รวมทั้งแม่น้ำน้อย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำนครนายก และแม่น้ำบางปะกง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งน้ำให้ประชาชนสามารถใช้น้ำเพื่อกิจกรรมต่างๆ ตลอดช่วงฤดูแล้งนี้
ด้านการบริหารจัดการน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ (ความเค็ม) ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แม่กลอง ท่าจีนและบางปะกง พบว่าค่าความเค็มในหลายพื้นที่ของลำน้ำสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง กรมชลประทาน จึงต้องบริหารจัดการน้ำโดยการระบายน้ำเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันและควบคุมความเค็มไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการผลิตน้ำประปาและการรักษาระบบนิเวศ ในขณะที่ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่สามารถนำไปไล่ความเค็มได้ตลอดเวลา จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัด โดยเฉพาะชาวเมืองหลวงและปริมณฑลที่ใช้น้ำจากการประปานครหลวง เพื่อให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงพอใช้ไปจนถึงต้นฤดูฝนหน้าอีกด้วย
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ