- Details
- Category: เกษตร
- Published: Sunday, 11 March 2018 22:29
- Hits: 2761
สศก.ร่วมประชุมความตกลงหุ้นส่วนศก.ระดับภูมิภาค ดันศักยภาพส่งออกสินค้าเกษตรไทยไป RCEP
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership - Trade Negotiating Committee: RCEP-TNC) ครั้งที่ 21 ซึ่ง สศก. ในฐานะผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าร่วมเจรจาภายใต้คณะทำงานการค้าสินค้า (Trade in Goods) เพื่อพิจารณารูปแบบและรายการสินค้าเกษตรของไทย ทั้งรายการที่สามารถเปิดตลาด และสินค้าอ่อนไหว ภายใต้ความตกลง RCEP ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยฝ่ายไทยมีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงต่างประเทศ เป็นต้น พร้อมด้วยประเทศสมาชิก ASEAN 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาอาเซียน (ASEAN FTA Partner: AFP) รวม 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
การประชุมครั้งนี้ ประเทศสมาชิก RCEP ได้ยื่นข้อเสนอรายการปรับปรุงการเปิดตลาด (Improved Second Offer) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ประเทศที่มีสัดส่วนการเปิดตลาด มากกว่า 90% คือ ฟิลิปปินส์ บรูไนดารุสซาลาม สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และจีน 2) ประเทศที่มีสัดส่วนการเปิดตลาดอยู่ระหว่าง 85-89% คือ ไทย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา และญี่ปุ่น และ 3) ประเทศที่มีสัดส่วนการเปิดตลาดน้อยกว่า 84% คือ เวียดนาม และอินเดีย
อย่างไรก็ดี การประชุมครั้งนี้ อาเซียนได้เร่งผลักดันให้มีการเปิดตลาดสินค้ามากยิ่งขึ้นที่ 92% ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมดและมูลค่าทั้งหมด ซึ่งประเทศสมาชิกได้มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายให้เข้าใกล้ระดับการเปิดตลาดสินค้าตามข้อเสนออาเซียน
หากพิจารณาเฉพาะรายการสินค้าเกษตรที่ประเทศคู่เจรจา RCEP เปิดตลาดให้ไทย พบว่า มีสินค้าที่สามารถเปิดตลาดมากกว่าความตกลงการค้าเสรีอาเซียน+1 ดังนี้ อินเดีย (สินค้าชา) ญี่ปุ่น (สินค้าประมง ผัก ผลไม้ เครื่องดื่ม เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำมันเมล็ดพืช ไหม) เกาหลีใต้ (สินค้าประมง เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง) นอกจากนี้ อาเซียนได้ยื่นข้อเสนอรูปแบบการเปิดตลาดสินค้าอ่อนไหวส่วนที่เหลือ 8% ให้ประเทศสมาชิก RCEP พิจารณา ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องหารือร่วมต่อไป
เลขาธิการ สศก. กล่าวว่า การประชุม RCEP นับได้ว่าเป็นความตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคขนาดใหญ่ และเป็นความตกลงแบบองค์รวม (Comprehensive Agreement) ที่มีมาตรฐานสูง ครอบคลุม เรื่องที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ในการค้าต่างๆ มีเป้าหมายเร่งการเปิดตลาดการค้าสินค้าระหว่างกันให้ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้มูลค่าการค้าภายใต้ความตกลงสูงกว่าความตกลงการค้าเสรีอาเซียน+1 และผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนาศักยภาพและขยายโอกาสในการส่งออกสินค้าของไทย รวมถึงการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและมิใช่ภาษีระหว่างประเทศสมาชิก
ทั้งนี้ สศก. จะผลักดันให้สินค้าเกษตรที่มีศักยภาพของไทย (อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ไก่ กุ้ง น้ำตาล สินค้าแปรรูป) สามารถขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศสมาชิก RCEP ได้มากขึ้น โดยลด/ยกเลิกภาษีนำเข้าที่เป็นอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน สำหรับสินค้าอ่อนไหวที่ไทยอาจได้รับผลกระทบหากเปิดตลาด จะทยอยลดภาษีโดยให้มีระยะเวลาการปรับตัวของเกษตรกร เพื่อรองรับการเปิดตลาดในอนาคตหรือขอสงวนการเปิดตลาดต่อไป
อย่างไรก็ดี การประชุม RCEP-TNC ครั้งที่ 22 จะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2561 ณ ประเทศสิงคโปร์
อินโฟเควสท์