- Details
- Category: Exchange
- Published: Thursday, 17 March 2022 23:54
- Hits: 2868
MAXBIT ขอไลเซนต์กลต.โบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัล ลงทุน 300 ล้านพัฒนาแพลตฟอร์มลุยศึกตลาดคริปโต
พีทีจี แตกไลน์ Non-oil ลงทุน 300 ล้านบาท ร่วมกับ ยูนิต ตั้งบริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด พัฒนาแพลตฟอร์ตธุรกิจเกี่ยวกับคริปโทเคอเรนซีและบล็อกเชน ยื่นก.ล.ต.ขอไลเซนต์โบรเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัล ต่อยอดธุรกิจกลไกสำคัญในอนาคตต่อยอดระบบการเงินของพีทีจี ที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากธุรกิจในเครือ
นายปกเขตร รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (MAXBIT DIGITAL ASSET) เผยว่า บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท ยูนิต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและการร่วมลงทุน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีทางการเงินและระบบบล็อกเชน จัดตั้ง บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (MAXBIT DIGITAL ASSET) ด้วยเงินลงทุนเบื้องต้น 300 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการเทรดสกุลเงินดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี) ที่จะเป็นประโยชน์และง่ายต่อนักลงทุนไทย และเป็นการขยายธุรกิจของพีทีจี เพื่อเข้าสู่ตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ต่อยอดธุรกิจ Non-oil ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของพีทีจี
จากแผนธูรกิจ PTG GROUP กำหนดแผนธุรกิจ 5 ปีมีเป้าหมายทรานฟอร์มธุรกิจจาก Oil และ Non-oil ไปเป็นธุรกิจ Co-Create Ecosystem เชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่'อยู่ดี มีสุข' ในทุกด้านของช่วงชีวิตและให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
โดยด้านหนึ่งจะทรานฟอร์ม ไปสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่จะเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้ามาใช้บริการ รวมถึงช่วยเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ ที่ประกอบด้วย บริการทางด้านการเงิน (financial service) เช่นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallet, lending), auto insurance และ lifestyle app เช่น พาทัวร์ และในอนาคต PT ไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หรือจะก้าวส่การเป็น Global Company ในที่สุด
“เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้บริษัทคาดว่า จะใช้งบลงทุนสำหรับธุรกิจ Non-oil ปีละประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท และจะขยายผ่านสาขาและ Touchpoint รวมถึงร่วมกับพาร์ทเนอร์หรือร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆหรือการเข้าลงทุนในบริษัท Startup ต่างๆโดยทุกธุรกิจทั้งหมดจะดำเนินการภายใต้ Max World ที่เรามีสมาชิกกว่า 17 ล้านคนเพิ่มจากปีก่อนอยู่ที่ 14.5 ล้านคน และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน”
โดยล่าสุด แมกซ์บิทฯ ได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพ์ (ก.ต.ล.) เพื่อขอใบอนุญาตประกอบการเป็นตัวแทนการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณา
“พีทีจีคาดหวังว่า แมกซ์บิทฯ ที่กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ททางการเงิน จะเป็นกลไกสำคัญในอนาคตต่อระบบการเงินของพีทีจี ที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-oil และจะเชื่อมกับแอปพลิเคชั่น Maxme ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเงินอิเลคทรอนิกส์ (E-Money) ที่พีทีจีเพิ่งได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย กลายเป็นสะพานเชื่อมสู่ระบบนิเวศน์สู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่รวมไปถึง DeFi และ Metaverse และสุดท้ายจะนำพีทีจีก้าวไปสู่บริษัทระดับโลกตามเป้าหมาย”นายปกเขตรกล่าว
กรรมการผู้จัดการ แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท กล่าวอีกว่า ส่วนระบบแพลตฟอร์มที่ แมกซ์บิท แอสเซท พัฒนาจะทำให้ระบบการซื้อขายมีความง่ายและสะดวกต่อการใช้งานมากที่สุด ที่สำคัญจะมีระบบ Maxbit Smart Aggregator ที่จะช่วยตรวจสอบและคัดกรองราคาซื้อขายที่ดีที่สุดในขณะนั้นให้แก่นักลงทุนด้วย ส่วนกลุ่มเป้าหมายนั้น เบื้องต้นจะใช้ข้อมูลจากบัตรแมกซ์การ์ด ที่มีสมาชิกมากกว่า 17 ล้านคน ซึ่ง 7.29 ล้านคน เป็นกลุ่มอายุระหว่าง 18-40 ปี เป็นกลุ่มอายุที่ใกล้เคียงกับกลุ่มอายุที่นิยมลงทุนในคริปโทฯ
อย่างไรก็ตาม จากรายงาน The Digital Global Review Report 2022 ของธนาคารกสิกรไทย พบว่า ในประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 54.5 ล้านคน คิดเป็น 77.8% ของประชากร และ 20.1% จากผู้ใช้เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี หรือมากกว่า 11.4 ล้านคน โดยพบว่า จำนวนที่เปิดบัญชีคริปโทฯ เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง มีอัตราเพิ่มเดือนต่อเดือนถึง 27.6% เทียบกับการเปิดบัญชีในตลาดหุ้นมีอัตราเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 2.9% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่
“ตอนนี้แม้ แมกซ์บิท แอสเซท อาจเพิ่งเริ่มต้น แต่ MAXBIT ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เพราะด้วยฐานข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ หากได้รับใบอนุญาต สามารถเดินหน้าได้ทันที และทำได้อย่างรวดเร็ว โดยเชื่อมั่นว่าแมกซ์บิท แอสเซท จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สามารถสร้างให้แก่พีทีจี อย่างมีนัยยะสำคัญ”นายปกเขตรกล่าว