- Details
- Category: สัมภาษณ์พิเศษ
- Published: Monday, 21 July 2014 18:09
- Hits: 7397
มุมมองนักบริหาร : กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา ‘สัมมากร’ ถึงจะเป็นยุคใหม่ แต่เราไม่ยอมเสี่ยง..ที่จะเสียชื่อเสียงแน่ๆ...
แนวหน้า : กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน)
หลายคนคงไม่รู้เลยว่าหลังพวงมาลัยรถคลาสสิก ที่วิ่งอยู่บนถนน และหลังพวงมาลัยรถแข่งที่สนามพีระเซอร์กิต คือ นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หนุ่มนักเรียนนอก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล จากมหาวิทยาลัยเอ็กซ์เตอร์ ประเทศอังกฤษ ผู้ที่ถือว่าเป็นสายเลือดใหม่ของสัมมากร และก้าวขึ้นมาเป็นเอ็มดีท่ามกลางหลายสายตาที่จับตามองว่า จะปรับเปลี่ยนนโยบายไปในเชิงรุกมากขึ้น หรืออาจจะปฏิวัติรูปแบบบ้าน และหันไปจับตลาด คนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด...หรือไม่..และอีกหลายๆ คำถาม ที่เขาต้องพิสูจน์ตัวเอง....
คุณกิตติพล กล่าวกับ'มุมมองนักบริหาร'ว่า ที่ผ่านมาบริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ถูกมองว่าเป็นบริษัทอนุรักษ์นิยม เพราะก่อตั้งมากว่า 40 ปีแต่มีโครงการบ้านจัดสรรเพียงไม่กี่โครงการเท่านั้น เนื่องจากดำเนินธุรกิจในลักษณะโตแบบช้าๆ แต่มั่นคง…ซึ่งนั่นเราไม่เถียงที่มองเราอย่างนั้น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากย้ำให้ทุกคนรู้ว่าอีกปรัชญาที่สัมมากรยึดมั่นและจะไม่มีวันเปลี่ยนคือ ความน่าเชื่อถือของบริษัท สินค้าทุกชิ้น บ้านทุกหลัง ของสัมมากรต้องไม่เอาเปรียบลูกค้า ราคาและคุณภาพต้องสมเหตุสมผล จะให้ลูกค้ามาต่อว่าบริษัทไม่ได้ เพราะเรามีต้นทุนด้านชื่อเสียงสูงมาก เราไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาดที่จะให้ชื่อเสียงเรามีปัญหา
“ถ้าสังเกตแบบบ้านของหมู่บ้านสัมมากรทุกโครงการ หลายคนอาจมองว่าธรรมดาๆ แต่จริงๆ แล้วแบบบ้านของสัมมากรทุกโครงการมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะพัฒนาเพื่อรองรับคนเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ หรือให้เป็นโมเดิร์นมากเกินไป ก็ยังไงอยู่ เพราะทาร์เก็ตกรุ๊ปของเราอยู่ที่คนอายุประมาณ 25-45 ปี และคนเหล่านี้มักจะซื้อบ้านของเราเป็นหลังแรกๆ”
สำหรับ ภาพรวมของธุรกิจของบริษัท ในช่วง 2-3 ปีนี้ บริษัทจะชะลอการเปิดโครงการบ้านแนวราบ เนื่องจากมีจำนวนบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่จากโครงการที่ยังเปิดขายรวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ดังนั้นในช่วง 2-3 ปีนี้ บริษัทจะเน้นขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ มากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น โครงการแนวสูง หรือคอนโดมิเนียม และโครงการ คอมมูนิตี้ มอลล์ ที่เติบโตต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การปรับกลยุทธ์หันมาบุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวสูงเป็นครั้งแรก เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในตัวสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ทำเลรายล้อมเส้นทางรถไฟฟ้า นอกจากนี้ การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของคอนโดมิเนียมให้สูงขึ้น เพราะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากต่างประเทศเข้ามา ความต้องการที่อยู่อาศัยจึงเพิ่มสูงขึ้นตาม
ล่าสุดได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมครั้งแรก ภายใต้แบรนด์ 'S9' ตั้งอยู่ย่านรัตนาธิเบศร์ ติดสถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่ บนพื้นที่ 6 ไร่ครึ่ง เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ขนาด 25.15-59.2 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 9.9 แสนบาท-2.4 ล้านบาท จำนวน 665 ยูนิต และร้านค้าอีก 10 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 1,077 ล้านบาท
นอกจากนี้ อีกหนึ่งไลน์ธุรกิจที่เราจะขยับเข้าไปมากคือ ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์..หลังจากที่เราเคยดำเนินการมาบ้างแล้วใน 2-3 แห่ง โดยโครงการใหม่ที่เราจะเปิดตัวคือ “เพียวเพลส ราชพฤกษ์”บนทำเลราชพฤกษ์ตอนเหนือ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ มีพื้นที่เช่ากว่า 4,000 ตร.ม. ราคาเช่า เฉลี่ย 700-800 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน
สำหรับ กลยุทธ์การตลาดในการดึงดูดผู้บริโภคของเพียวเพลส ราชพฤกษ์ คือการจับมือระหว่าง 3 องค์กร ได้แก่ เพียว สัมมากร บริษัทรับจัดการขยะวงษ์พาณิชย์ และ Max Valu ในการรณรงค์แยกขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยให้วงษ์พาณิชย์ มาตั้งบูธฟรีภายในโครงการ เพื่อดึงดูดให้ประชาชนในพื้นที่แยกขยะแล้วมาขายให้กับวงษ์พาณิชย์โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นส่วนลดการซื้อสินค้าใน Max Valuเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภครักสิ่งแวดล้อมและมาใช้บริการเพียวเพลสมากขึ้น
นอกจากนี้บริษัทได้วางแผนโครงการอสังหาริมทรัพย์ออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นในช่วง 2 ปีจากนี้ ทั้งนี้ สนใจลงทุนคอนโดมิเนียมโดยจะเริ่มจากการพัฒนาในที่ดินของบริษัทที่หาดตะวันรอน พัทยา จำนวน 25 ไร่ ในรูปแบบโครงการมิกซ์ ยูส ซึ่งเป็นการพัฒนาทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม
“สรุปโดยรวมแล้วแผนการดำเนินงานของบริษัท ในปี 2557 จะรุกตลาดทาวน์เฮาส์มากขึ้น ประมาณ 1-2 โครงการ เนื่องจากราคาที่ดินในเมืองราคาเริ่มสูงขึ้น หากพัฒนาบ้านเดี่ยวจะต้องมีราคาที่แพงขึ้น ในขณะที่ดีมานด์ระดับกลางยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกมาก จึงสนใจที่จะพัฒนาทาวน์เฮาส์ ระดับราคาประมาณ 2-4 ล้านบาท ในทำเลย่านรามคำแหง, รามอินทรา และราชพฤกษ์ โซนเหนือ พื้นที่ประมาณ 15-20 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 200-300 ล้านบาท รวมทั้งทำ คอนโดมิเนียม ซึ่งตลาดยังมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพมากๆ เช่น แนวรถไฟฟ้า”
ส่วนเป้าหมายของสัมมากรในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ที่ 890 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 680 ล้านบาท
คุณกิตติพล ย้ำกับมุมมองฯ “ตลอดระยะเวลาผ่านมา ปรัชญาของบริษัทสัมมากรสอนให้ทุกคนทราบว่าเราไม่เพียงสร้างบ้าน แต่เราสร้างสังคมด้วยตรงนี้ ถ้าใครรู้จักหมู่บ้านสัมมากรจะทราบดีว่าตลอดระยะเวลาผ่านมา 30 ปี ตั้งแต่โครงการแรกที่บางกะปิ, มีนบุรี, นิมิตรใหม่, สุวินทวงศ์, รังสิต คลอง 2 และคลอง 7 รวมไปถึงโครงการล่าสุดอย่างหมู่บ้านสัมมากร นครอินทร์ เราจะกันพื้นที่ส่วนกลางไว้เยอะมาก เพราะเราเชื่อตลอดมาว่าสังคมของหมู่บ้าน สิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเรื่องสิ่งแวดล้อมในชุมชนเป็นเรื่องที่ผู้บริหารทุกคนให้ความสำคัญตลอดมา และจะให้ความสำคัญตลอดไป”
อนันตเดช พงษ์พันธุ์