- Details
- Category: สัมภาษณ์พิเศษ
- Published: Monday, 21 July 2014 18:04
- Hits: 9364
นอกรอบ : นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา นำพา 'ยันฮี' สู่เส้นทางสายใหม่
ไทยโพสต์ : ในยุคปัจจุบันธุรกิจความงามเกิดขึ้นในเมืองไทยมากมาย เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องของความสวยความงามกันมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในโรงพยาบาลที่เอ่ยชื่อขึ้นมาแล้วทุกคนต้องนึกถึงว่ามีชื่อเสียงเกี่ยวกับด้านศัลยกรรมคงหนีไม่พ้น "โรงพยาบาลยันฮี" อย่างแน่นอน และการที่สามารถเปิดให้บริการผู้ป่วยได้ในเวลายาวนานเช่นนี้ นั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนว่ายันฮีมีคุณภาพเป็นอย่างมาก
นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี เล่าว่า โรงพยาบาลยันฮีได้ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 28 ปีแล้ว ซึ่งในตอนนี้สถานการณ์ของตลาดเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีการทำตลาดในแนวรุกมากขึ้น เมื่อก่อนคนไข้จะเข้ามาหาหมอที่โรงพยาบาล แต่ในตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ประชาชนเลือกที่จะเดินเข้าไปในคลินิกที่ใกล้บ้าน ซึ่งปัจจุบันมีเปิดให้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก การดำเนินธุรกิจแบบแนวตั้งจึงไม่ใช่การตลาดที่นิยมอีกต่อไป
จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่ายันฮีจะเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการบริการเรื่องความงามและได้รับมาตรฐานสากลทั้ง ISO 9001 และ 14001 ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางกว่า 90 ประเทศทั่วโลกว่า แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และค่านิยมของผู้บริโภคที่ไม่เหมือนเดิม
นพ.สุพจน์ เล่าต่อว่า เราจึงได้เริ่มดูว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนของยันฮีเป็นที่นิยมของคนไข้ ซึ่งต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพราะการทำตลาดสกินแคร์ของยันฮีต้องเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ต้องออกมาทำตลาดนอกโรงพยาบาล ดังนั้นจึงต้องมีการยื่นขอ อย.เสียก่อน ความมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากวางจำหน่ายไปแล้วของไม่เกิดคุณภาพและขายไม่ดี ก็ต้องถูกยกเลิกขายอยู่ดี และในตอนนี้ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ตลาดสกินแคร์จึงยังมีโอกาสเติบโตตามความต้องการของผู้บริโภคอีกมาก ซึ่งด้วยความเป็นยันฮีก็นับว่าเป็นเครื่องการันตีคุณภาพของสินค้าได้อยู่แล้ว แต่เราอาจจะเก่งในส่วนของความงาม การตลาดไม่ได้มีความเชี่ยวชาญอะไรมาก การหามืออาชีพทางการตลาดเพื่อมาทำธุรกิจร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งที่ผ่านมายันฮีก็ได้ซีพีออลล์ให้การสนับช่องทางในการจำหน่าย ทั้งการวางขายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น และเซเว่น แคตตาล็อก อีกด้วย
สำหรับ รายได้ของยันฮีจะมาจากการประกอบธุรกิจหลายด้านด้วยกัน ได้แก่ 1.โรงพยาบาล ซึ่งนับว่าเป็นรายได้หลักของยันฮี 2.บริษัท เมดโดซิน จำกัด ผู้นำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์ 3.บริษัท ยาอินไท จำกัด 4.บริษัท ยันฮี โซล่า พาวเวอร์ จำกัด 5.บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด โดยการขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ครั้งนี้ ก็ได้ทุ่มงบประมาณไปกว่า 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายอาคารโรงงานและซื้อเครื่องจักร "ที่ผ่านมาเราได้ใช้ที่ดินบริเวณจังหวัดนครปฐม เพื่อสร้างโรงงานในการผลิตโซลาร์เซลล์ แต่อันที่จริงที่ดินบริเวณดังกล่าวเราอยากจะสร้างบ้านพักคนชรามากกว่า ซึ่งก็คงต้องทำการหาที่ดินใหม่ แต่ก็ยังจะอยู่ในเขตภาคกลาง เพื่อสร้างบ้านพักคนชราจำนวน 100 ห้อง บนพื้นที่ 200 ไร่ ภายใน 5 ปีนับจากนี้ โดยมองว่าในตอนนี้พยาบาลที่ดูแลผู้สูงอายุในตลาดค่อนข้างมีความขาดแคลนมากถึง 80,000 คน ซึ่งเราอยากให้ยันฮีสามารถดูแลคนไข้ได้ตั้งแต่แรกเกิดที่มาทำคลอดที่โรงพยาบาลยันฮี ช่วงระหว่างวัยรุ่นและทำงานก็ใช้บริการเรื่องของความงาม และเมื่อมีอายุสูงวัยมากขึ้น ก็เข้ามาให้ยันฮีดูแลที่บ้านพักคนชรา และหากว่าการสร้างบ้านพักคนชราสำเร็จตามแผนที่วางไว้ ก็จะทำให้เราเป็นโรงพยาบาลที่สามารถดูแลคนไข้ได้อย่างครบวงจร" นพ.สุพจน์กล่าวปิดท้าย.