WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

52วนวันเบาๆ และเก้าอี้ ผบ.ตร. กับ'บิ๊กอ๊อด' พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง

มติชนออนไลน์ :

      นาฬิกาดิจิตอลบนจอโทรทัศน์หน้าห้องสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ปีกขวา ชั้น 4 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นับถอยหลังเหลือเพียง 52 วัน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ถึงวาระที่ 'บิ๊กอ๊อด' พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ต้องก้าวลงจากตำแหน่ง 'ผบ.ตร.'

        ด้วยปัจจัยทั้งหลายทั้งปวง ค่อนข้างแน่นอนว่า "บิ๊กอ๊อด" จะเป็น ผบ.ตร.อีกคนที่อยู่ในตำแหน่งครบวาระ ก้าวลงจากเก้าอี้ 'พิทักษ์ 1' อย่างสง่างาม
       "ผมเป็น ผบ.ตร.ที่โชคดี" บิ๊กอ๊อดให้คำจำกัดความถึงห้วง 1 ปี บนเก้าอี้ "พิทักษ์ 1"
      "ผมโชคดีที่เป็น ผบ.ตร.ในช่วงที่อะไรค่อนข้างชัดเจน ทั้งท่านนายกฯ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) ท่านประวิตร (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับ ตร.) สั่งอะไรชัดเจน จึงทำให้เราสามารถทำอะไรตามนโยบายแบบชัดเจน ไม่ต้องฟังมากคน ไม่ต้องมีนายหลายคน ไม่มีคนมากดดัน นี่คือความโชคดีในช่วงนี้" พล.ต.อ.สมยศบอกกล่าวถึงการทำหน้าที่ ผบ.ตร. 
      "มติชน" สัมภาษณ์พิเศษ "พล.ต.อ.สมยศ" ถึงชีวิตวัยเด็ก มิติของนักธุรกิจ บทบาทของพ่อ เส้นทางชีวิตของ "นายตำรวจ" ผู้รักในสโลแกน "Aod for All อ๊อด ฟอร์ ออล" ห้วง 1 ปี บนเก้าอี้ผู้นำตำรวจ และคำถามถึง "ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่" ในฐานะผู้เสนอชื่อแต่งตั้ง 

"บิ๊กอ๊อด" เปิดฉากชีวิตวัยเด็ก ว่าเป็นบ้านนอกคนหนึ่ง เป็นชาวพระนครศรีอยุธยาโดยกำเนิด
        "ผมเติบโตเรียนหนังสือที่ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา มีพ่อเป็นสัสดี แม่เป็นแม่บ้าน ใช้ชีวิตเด็กชนบทอยู่ในกลุ่มค่อนข้างเกเรเพราะชอบสนุกสนาน แต่ไม่สร้างปัญหาให้ใคร ผมเกเรนะ แต่ถึงเวลาเรียนก็เรียนและคอยดึงเพื่อนๆ ในกลุ่มให้เรียนหนังสือ เรียนค่อนข้างเก่ง ได้ที่ 1 2 3 อยู่ในห้องเด็กเรียนเก่ง เป็นคนเพื่อนเยอะ ชอบคบเพื่อนทุกห้อง เป็นนักกีฬา ใช้ชีวิตหลากหลาย บางทีหนีแม่ไปยิงนก ตกปลา หนีไปนอนวัด ชอบหนีแม่ไปขายโอเลี้ยงที่สถานีรถไฟ อยากไปโหนไปกระโดดรถไฟเล่น ขายโอเลี้ยงถุงละ 1 บาท เขาให้ส่วนแบ่งถุงละ 10 สตางค์ ร้องขายโอเลี้ยงๆ สนุกมาก แต่ถ้าแม่รู้ แม่ตี แม่บอกว่าเดี๋ยวรถไฟทับเอา แต่ชอบแอบไป สนุกและได้ตังค์ด้วย ผมอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่อบรมมาดี เป็นคนเรียนเก่งที่สุด พ่อแม่ให้ความสำคัญมาก ผมเป็นขาใหญ่ในครอบครัว พูดอะไรทุกคนต้องฟัง ผมหัวดี ขยัน และกล้า"

บิ๊กอ๊อด เล่าว่า เป็นเกษตรกรที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุเพียง 12 ปีเท่านั้น 
       "ตอนเรียน มศ.1 เขาให้เลือกเรียนสายวิชาชีพ ผมเลือกเรียนสายเกษตร ได้รู้วิธีตัดตอนแต่งเพาะพันธุ์กิ่ง ฉีดวัคซีนไก่ ปลูกต้นไม้ ครูให้ปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ เป็นผลงาน ผมปลูกผักคะน้า ผักกาดหอม เลี้ยงไก่ที่บ้าน ผมปลูกจริงจังเลย ผมเลี้ยงไก่ขาย 4,000-5,000 ตัวต่อกรง ทำเองหมด เสาร์-อาทิตย์พ่อจะพานั่งรถไฟไปซื้อต้นไม้ที่คลองหลอด ผมเลือกซื้อกิ่งกุหลาบไปปลูกที่บ้าน ที่โรงเรียนมีเวรทำความสะอาดตอนเช้า และต้องซื้อดอกไม้ปักแจกันให้ครู ผมขายกุหลาบดอกละสลึง ดอกละ 50 สตางค์ เขามาซื้อถึงบ้าน ไก่ที่เลี้ยงผมเก็บไข่ไปขายที่ร้านกาแฟให้เขาทำไข่ลวก บางส่วนส่งตลาด ผักก็ส่งขาย นี่คือธุรกิจของผม พ่อแม่ให้ทุนสนับสนุน แต่ไม่เข้ามายุ่ง พี่น้องก็ไม่ได้มาช่วย ผมจับไก่ไปขายที่สถานีรถไฟบางซื่อให้เขาทำไก่ย่าง เช้าวันเสาร์ อาทิตย์ผมตื่นตี 5 มาปลูกต้นไม้ ปลูกผัก เลี้ยงไก่ กวาดขี้ไก่ เสร็จแล้วนอนเปลยวนดูหนังสือไปด้วย ดูไก่ไปด้วย ทุกอย่างขายได้ เด็กอายุ 12 ตอนนั้นถือเงินเป็นพัน ไม่น้อยเลยนะ เด็กๆ ไม่ได้ไปเล่นกับเขาเท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่ดูหนังสือ เล่นฟุตบอล ส่งผักที่ตลาด ว่างก็ไปตกปลา เสื่อผืนนึงกับเบ็ดตกปลา หนังสือเล่มนึง ตกปลาไปดูหนังสือไป บางทีแอบไปช่วยเขาทำนา ที่บ้านมีนาแต่ให้เขาเช่า ผมโตมาแบบนี้จึงชอบต้นไม้มาถึงวันนี้" ผบ.ตร.เล่าพลางยิ้ม 

ชีวิตเด็กชายที่เติบโตท่ามกลางท้องนาหันเหสู่ชีวิตนักเรียนเตรียมทหาร
     "บิ๊กอ๊อด" เล่าว่า สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารถึง 2 ครั้ง ปีแรกไม่ติดก็กลับไปเรียน มศ.4 เพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัย 
    "เรียน มศ.4 แล้วรู้สึกว่าเรียนไม่ไหวเพราะ มศ.4 มศ.5 สมัยนั้นยาก อยากไปเรียนช่างกล เพื่อนๆ ก็ไปเรียนช่างกันหมด ทั้งช่างกลปทุมวัน อุเทนถวาย ก่อสร้างดุสิต แต่พ่อเป็นทหารพยายามผลักดันให้เรียนเตรียมทหาร เราอยากให้พ่อมีความสุขจึงสอบเตรียมทหารอีกครั้ง สอบติดช่างกลพระนครเหนือกับเตรียมทหาร แต่ผมเลือกเตรียมทหาร ขึ้นปี 2 เลือกเหล่าตำรวจ พ่ออยากให้เป็นตำรวจ แต่คุณตา พล.ต.ท.หลวงแผ้วพาลชน อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ท่านเลี้ยงดูคุณแม่มา เรียกให้ไปพบถามว่าคิดยังไงถึงเป็นตำรวจ ผมบอกว่าชอบ ตาเลยบอกว่าเจ็บช้ำจากการเป็นตำรวจมา เพราะพอจะขึ้นเขาก็เอาทหารมาเป็นอธิบดี ท่านบอกผมว่าเตือนแล้วไม่เชื่อนะ แต่ผมเลือกแล้ว" พล.ต.อ.สมยศเล่าถึงจุดเปลี่ยนชีวิต 
      "เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 31 ผมเรียนไม่ค่อยเก่ง อยู่ในกลุ่มพวกสังคมจัด เขาเรียกโซเชียล เที่ยวอย่างเดียวเต็มเหนี่ยว แต่ไม่เคยสร้างความเดือดร้อน หรือทำให้เพื่อนถูกทำโทษ เรียนกลางๆ เล่นกีฬา เพื่อนเยอะ เกเรหน่อย เรียนจบมารับราชการครั้งแรกเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สน.พระโขนง ทำงานสักพักอยากเรียนต่อปริญญาโท ตอนนั้นปริญญาโทในไทยมีน้อยมากก็อยากไปเรียนสหรัฐอเมริกา แต่สอบโทเฟลคะแนนไม่ถึง ตอนนั้นรุ่นพี่ พล.ต.ต.ภูมิรา วัฒนปาณี ชวนไปเรียนที่อินเดีย จึงไปเรียนปริญญาโทรัฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยปูนา อยู่อินเดีย 2 ปี ผมสามารถหารายได้จากการทำการค้าจนใช้ชีวิตนักเรียนไทยอย่างสุขสบายหรูหราที่สุด บางวันอยากกินแฟ ก็ขึ้นเครื่องบินจากปูนา ไปบอมเบย์ได้เลย ตอนนั้นผมเห็นว่าที่อินเดียมีคนอิหร่านมาเรียนหนังสือเยอะมากและเขาก็ชอบคลั่งกางเกงยีนส์มาก พ่อแม่ให้เงินไปเรียนผมเอาไปซื้อกางเกงยีนส์จากตลาดโบ๊เบ๊ไปขาย ซื้อตัวละ 100 ขายตัวเป็นพัน ซื้อเสื้อยืด ปากกาบิ๊กบอลเพน ด้ามละ 2 บาท ขาย 20-30 บาท ในกระเป๋าเดินทางกลับไปเรียนอินเดีย มีแต่ของขาย ภาพโปสเตอร์ดาราศิลปิน ภาพวิวพิมพ์ออฟเซต 4 สี บ้านเรามีแต่ที่อินเดียไม่มี ผมซื้อแผ่นละ 10 สลึงม้วนไปเป็นพันๆ แผ่น สะพายเอาไปขาย แรกๆ เอาไปส่งขาย ต่อมาไปหุ้นกับแขกเอาโปสเตอร์ใส่ทำเฟรมไม้อัดขาย ขายได้เป็นร้อยเลย ผมอยู่อินเดียอย่างเศรษฐี ใช้ชีวิตน่าอิจฉามาก แต่ไม่เคยซื้อรถ นักเรียนไทยที่โน่นซื้อมอเตอร์ไซค์ขี่ แต่ผมไม่ เพราะแม่ห้ามไม่ให้ขี่มอเตอร์ไซค์ ผมเรียนรู้มีประสบการณ์การทำธุรกิจมหาศาล" บิ๊กอ๊อดเล่าถึงช่วงชีวิตนักเรียนนอกที่ฉายแววนักธุรกิจเต็มมาตั้งแต่เด็ก 
      ก่อนเล่าต่อว่า เมื่อรับราชการคู่ขนานกับการทำธุรกิจมาตลอด และโชคดีที่มีเพื่อนนักธุรกิจที่ดี 
      "ผมชอบทำธุรกิจ ผมมั่นใจ กล้าพูดว่าผมเป็นตำรวจที่ไม่เคยรับตังค์จากผู้ใต้บังคับบัญชา เราไม่ได้ดูถูกเงินของลูกน้อง ไม่ได้หมิ่นเงินน้อย แต่เราคิดจะเป็นตำรวจที่ไม่เบียดเบียนเงินลูกน้อง สมัยยังเป็น ร.ต.ต.ซึ่งเป็นอยู่ 13 ปี เคยคิดเบนเข็มจากเส้นทางตำรวจ เรายังเด็ก ไม่มีเส้น น้อยใจโชคชะตา ยุคนั้นเห็นคนไทยไปร่ำรวยทำธุรกิจที่อเมริกากันเยอะ อยากทำบ้าง แต่มาคิด เฮ้ย เรียนมาตั้งเยอะ คนอีกเป็นล้านเป็นแสนอยากเป็น เป็นนายตำรวจ เราจะลาออก บ้าหรือเปล่า"
       "แต่โชคดี ช่วงเป็น ร.ต.อ. ผมได้ไปอยู่กับท่านมนตรี พงษ์พานิช ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 อยู่กับท่าน 20-30 ปี กระทั่งติดยศ พล.ต.ต. ท่านเลี้ยงเราเหมือนลูก ให้ความเมตตา สอนผมทุกเรื่อง ทั้งวิธีคิด สอนให้อ่านคน สอนให้รู้จักการเมือง สอนให้รู้ว่าคนคิดอย่างไร สอนเรื่องเล่ห์เหลี่ยมคนเป็นอย่างไร สอนทุกเรื่องให้เข้าใจคนที่อยู่กับการเมือง ครึ่งชีวิตของผมอยู่กับการเมืองมาตลอด ได้เรียนรู้ว่านักการเมืองคิดอย่างไร ท่านเลี้ยงดูเราเป็นน้องชาย เป็นลูกชาย มอบงาน มอบความไว้วางใจ ดูแลครอบครัวผมมาอย่างดี มันทำให้ผมไม่ต้องไปมองหา แสวงหาในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง" พล.ต.อ.สมยศเล่าถึงคนสำคัญในชีวิต 

ด้านชีวิตครอบครัว "บิ๊กอ๊อด" เล่าว่า ลูกของ พล.ต.อ.สมยศ ทุกคนผ่านไม้เรียวมาหมดแล้ว 
     "พอลูกจบชั้นประถมศึกษาเขาขอไปเรียนต่างประเทศ ผมให้ไปเลย เคยน้อยใจตัวเองที่สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้ในปีแรกพราะสอบวิชาภาษาอังกฤษไม่ได้ บอกลูกว่าไม่ต้องเรียนอะไรมากนะลูก เรียนที่มันจบปริญญาตรี ที่สำคัญต้องพูดให้ได้ผมให้อิสระ ให้ลูกรู้จักคิด แต่แม่เขา (คุณพจมาน พุ่มพันธุ์ม่วง) ดุหน่อย หวงลูกหน่อย ผมโตมาแบบเด็กเกเร จึงปล่อยลูกให้เขารู้จักคิด สอนและดูอยู่ห่างๆ แต่หลักของผมคือสอน และมอบอะไรให้เขาทำเร็วๆ เพื่อที่เราจะมีโอกาสช่วยเขาตอนเขาผิดพลาด อย่างลูกชาย อ้าย (ร.ต.ท.รชต พุ่มพันธุ์ม่วง) ไม่ได้อยากเป็นตำรวจหรอก ตอนนั้นแกล้งเขา อยากให้มีระเบียบวินัยบ้าง ดันชอบซะอีก เมื่อเขาเลือกจะเป็นอย่างนี้เราก็สนับสนุน แอบภูมิใจ แม้เขาไม่ได้เรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ก็รักอาชีพตำรวจ ดีใจที่เขาทำประโยชน์ให้ ตร.ได้จากความรู้ ประสบการณ์ด้านภาษา ตอนลูกสาว (เอ๋ย น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง) จบใหม่ๆ อยากให้เขาเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ คิดว่าถ้าลูกสาวเรามีลูกศิษย์เป็นนักเรียนนายร้อยสัก 5-6 รุ่น ก็ดีนะ แต่เขาไปได้งานที่ ปตท.แล้วก็เปลี่ยนทางก่อนมาดูธุรกิจแทนพ่อ ผมให้เขาทำธุรกิจ ผมไม่ไปยุ่งเลย ไม่แทรกแซง เว้นแต่เขามาถาม ผมสอนให้ลูกคิดเอง อยากให้เขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไว้ใจลูก ให้ทำเลย ถ้าธุรกิจมันจะพังเพราะลูกเรา ไม่เสียดายหรอก แต่ถ้าพังเพราะคนอื่นมันเสียดาย แต่ถ้าพังตอนนี้ที่เรายังอยู่ เรายังช่วยได้"
      "ผมไม่ใช่คนหวงลูก แต่ถ้าเราแสดงออกถึงความไม่หวงเขาก็ว่าเรา หาว่าเราตามใจ ถ้าผมจะให้ตังค์ลูก ภรรยาจะถามเขาไม่ให้ลูกสุรุ่ยสุร่าย ให้รู้จักคุณค่าของเงิน แต่ลูกผมก็ดี เขาไม่เคยขอพ่อซื้อพอร์ช เฟอร์รารี บอกแค่รถอะไรก็ได้พ่อ ลูกผมดีเพราะแม่เขาดี เรื่องลูกผมปล่อยแม่เขาเลย ไม่ค่อยแทรกแซง ลูกพูดเลย พ่อน่ะ อยู่ข้างนอกเป็นนายพล ทำแอ๊กนายพล อยู่บ้านเหมือนจ่า ก็ผมไม่มีสิทธิมีเสียง (หัวเราะร่วน) อยู่บ้านเขาเรียกจ่าอ๊อด จะพูดอะไรเขาบอก จ่าอ๊อดเงียบๆ ไม่ต้องพูด ทุกวันนี้ก็ยังเป็นจ่าอ๊อด เราขี้เกียจพูด ภรรยาจะบอกเรื่องลูกเป็นหน้าที่แม่เพราะผมไม่ได้คลุกคลี ไม่รู้จักลูกดีเท่าแม่ ผมให้เป็นหน้าที่เขา เวลาแม่ลูกเถียงกัน ลูกบอกให้พ่อช่วยพูด ผมจะบอกเลย ทะเลาะกันไป อย่าเอาพ่อเข้าไปเกี่ยว (หัวเราะดัง)" บิ๊กอ๊อดเล่าอย่างมีอารมณ์ขัน
      ก่อนเริ่มเล่าถึงชีวิตนายตำรวจใหญ่ ว่า "วันที่ผมนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ผมกล้าพูดเลย ผมคิดว่าผมมีโอกาสเป็น ผบ.ตร. เพราะคิดว่าเราเป็น ผบช.ก.ได้ เราก็มีโอกาสเป็น ผบ.ตร.ได้ แต่คุณต้องทำตัวให้ดี วางตัวให้ดีเป็นที่ยอมรับ และที่สำคัญต้องไม่มีเรื่องชั่วร้าย ด่างพร้อยไม่ดี ในขณะดำรงชีวิตเป็น ผบช.ก. อยู่ 8 เดือน ผมไม่เคยรับตังค์ผิดกฎหมายสักสลึงเดียว ผมกล้าพูด ผมพูดกับน้องบางคนว่าเงินผมอยากได้ ผมไม่ดูถูกเงิน ไม่ดูถูกไมตรีของลูกน้อง แต่พี่กำลังเดินทางไกล (มือทุบอก) มาร่วมสร้างกุศลกับพี่เถอะ พี่ไม่คิดจะเป็นแค่สังฆราช พี่จะไปนิพพาน ผมพูดอย่างนี้กับน้องๆ ตอนนั้นผมเหมือนบวชพระ อะไรที่ไม่ดีในอาชีพตำรวจผมไม่ทำ ผมถือศีล"
      "ผมโชคดีที่เจอผู้บังคับบัญชาดีๆ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ (อดีต ผบ.ตร.) เมตตาผมมาก สนับสนุนผมมาตลอด สมัย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็น ผบ.ตร. ผมได้รับแต่งตั้งเป็น ผบช. ทั้งที่มีอาวุโสลำดับ 87 นั่นจังหวะของคนมันเริ่มเปลี่ยน ตอนผมเป็นรอง ผบ.ตร. ผมไม่ใช่ม้าในสายตา ไม่มีใครเชื่อว่าผมจะได้ แต่ผมก็มั่นใจ ไม่รู้นะว่าเพราะอะไร แต่เหมือนมีเซ้นส์ สมัยรัฐบาลเลือกตั้งผมไม่มีโอกาสหรอก ท่านพงศพัศ (พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ) พี่ย้อย (พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา) พี่เอก (พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์) ก็อยู่ รัฐบาลเขาไม่เอาผมเพราะผมมีปัญหากับท่านชัจจ์ (พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก) ไม่มีทางเลยที่ผมจะได้เป็น ผบ.ตร. ผมคิดอยู่ในใจ พูดกับลูกน้องที่สนิทถ้ามีปฏิวัติเมื่อไหร่ กูเป็น ผบ.ตร." พล.ต.อ.สมยศเล่าถึงเส้นทางชีวิต และย้ำว่า เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยน ทุกอย่างปลี่ยน มันเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต มันคือลิขิตฟ้า
       "ผมตั้งใจเมื่ออยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร. ผมจะสร้างแต่สิ่งดีๆ ไม่สร้างปัญหา ให้ตัวเองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงพยายามคิดอะไรแปลกๆ คนว่าผมจะทำได้ยังไงให้คนรักตำรวจ มันไม่ง่าย ที่ผมออกสโลแกน มอบความรัก สร้างความศรัทธา ผมก็รู้ว่ามันไม่ง่าย มันไม่เสร็จสิ้นในสมัยผมหรอก แต่ผมคิดว่านี่คือก้าวแรกในการเดินทางไกลหมื่นลี้ ผมบอกผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นต่อให้เปลี่ยนแปลงอย่างไร มีคนเก่งกล้ามาปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเราเอง ปรับพฤติกรรม ปรับนิสัยใจคอ จากที่เคยกระโชกโฮกฮากเป็นเจ้านายประชาชน ต้องโอภาปราศรัย แต่ต้องบังคับใช้กฎหมาย ผมอยากเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนทัศนคติ จับแต่ให้ประชาชนรัก ต้องอธิบายประชาชนว่าทำไมต้องจับ ผมไม่หวังว่าต้องดีขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 2 แสนกว่า เปลี่ยนได้สักพันสักหมื่นก็ดีใจแล้ว ผมแค่อยากเป็นคนจุดประกายให้ตำรวจเปลี่ยนแปลง เที่ยวตั้งด่านรีดไถไม่ได้นะ เที่ยวจับแล้วเรียกเงินเรียกทองไม่ได้นะ ผมแก้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมเป็นจุดเริ่มต้น ผมไม่ใช่เทวดา ไม่มีอาญาสิทธิ์อะไร แต่กำลังชี้ให้ตำรวจเห็นว่าถ้ายังไม่เปลี่ยน คุณก็จะถูกเปลี่ยน ถูกสังคมประณาม"
      "สิ่งที่อยากทำอย่างหนึ่ง ถ้ามี ผบ.ตร.คนใหม่ สิ่งหนึ่งอยากทำคิดไม่ถึงกันหรอก (หัวเราะ) อยากให้เขาเปลี่ยนสีเครื่องแบบตำรวจใหม่ เป็นสีเดียวกัน เหมือนทหาร ผมคิดจะทำ แต่ทำไม่ทัน ผมพูดเรื่องนี้มาตลอด อยากทำนะ แต่ลืม อยากเห็นสีเครื่องแบบเหมือนกัน ผ้าเหมือนกัน ออกมาจากที่เดียวกันลุคเดียวกัน ทุกวันนี้บางคนสีกากีแกมดำ แกมเขียว โอ๊ย เห็นแล้วขัดใจ นี่อยากทำมาก เหมือนเรื่องเล็กแต่เรื่องใหญ่นะ" บิ๊กอ๊อดบอกเล่าอย่างเขินๆ

เมื่อถามถึงแผนชีวิตหลังเกษียณ
      พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า อยากเป็นนักพัฒนาที่ดิน ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 
     "มีที่ดินพอสมควรที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา วางแผนว่าเมื่อเกษียณแล้วจะไปอยู่ที่เขาใหญ่ ทำอาชีพหลังเกษียณ ผมชอบซื้อที่ดิน ชอบปลูกต้นไม้ ที่ดินที่เป็นท้องไร่ท้องนาดูไม่มีค่าหรอก แต่ถ้าซื้อแล้วจัดระบบน้ำให้ดี ทำแลนสเคปให้ดี ปลูกต้นไม้ให้สวยงาม ราคาขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ผมชอบต้นไม้มาก ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ผมปลูกต้นไม้เป็นร้อยๆ ต้น เราซื้อต้นไม้ต้นละ 500 บาท เอามาปลูกลงดิน ฝากเทวดาเลี้ยงสัก 5 ปี ราคาขึ้นต้นละ 30,000 บาท ผมคิดเป็นธุรกิจ ใครอยากซื้อเราก็ขุดขาย ที่ดินรกร้าง กลับมีต้นไม้สวยงามราคาขึ้นทันที หลังเกษียณไม่ออกไปนอกวงการห่างไกลหรอก ยังเล่นหุ้น เป็นนักลงทุน
     "เรื่องการเมืองหลังเกษียณมันก็ไม่เป็นไปตามที่เราคิด ที่คิดที่อยาก อาจไม่เป็นไปอย่างที่อยาก เรื่องการเมือง พูดยาก บางคนมองว่าผมอยู่กับการเมือง เกษียณแล้วคงไปรับตำแหน่ง เล่นการเมือง มันเป็นเรื่องอนาคต ตอนนี้ยังไม่คิดเลย คนเราเป็นอะไรก็ได้ อยู่ที่ทำอะไรให้ตัวเองมีคุณค่า ไม่ต้องมีตำแหน่งหรอก อยู่ตรงไหนก็ได้ให้เขาเรียกหา เรียกใช้ ให้คิดถึง ถึงเวลาเราจะรู้ได้อย่างไร เวลาเปลี่ยน ข้อมูลเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยนไปได้ จะบอกว่าไม่ แล้วถึงเวลามันไม่เป็นอย่างนั้น ก็ต้องมาแก้ตัวพัลวัน ทุกวันนี้ยังเฉยๆ แต่มันมีอะไรทำอยู่แล้วล่ะ เกษียณไปก็ไม่ว่าง ผมเป็นคนวางแผนมาตลอด" 

เมื่อถามถึง ผบ.ตร.คนใหม่ บิ๊กอ๊อดตอบว่า รอง ผบ.ตร.ทุกคนมีสิทธิ
     "สื่อก็ไปเก็งข้อสอบกันเองว่าคนนั้นคนนี้ แต่บอกเลยว่าทุกคนเหมาะสม แต่เอาเป็นว่าถ้าให้ผมเลือก ผมต้องเลือกคนที่ สามารถทำงาน ทำให้ตำรวจแฮปปี้ได้ และสามารถทำงานได้ และสามารถต่องานกับรัฐบาลได้ นี่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วมันต้องมีเหตุผลอื่นๆ หลายแฟ็กเตอร์ ที่ผมคงไม่ต้องอธิบาย แต่เขาคงมีข้อมูล และสอบถามความเห็น" 
    "1 ปีที่ผ่านมาผมพอใจที่ทำได้ระดับหนึ่ง แต่มันยังไม่เต็มที่ ยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ยังไม่สำเร็จ จากประสบการณ์ที่ผมเป็นนะ การเป็น ผบ.ตร.เพียง 1 ปีนั้นน้อยไป" พล.ต.อ.สมยศกล่าว 


ถามว่า แสดงว่าการเป็น ผบ.ตร.ควรมีเวลามากกว่า 1 ปีเพื่อให้ทำอะไรได้
    บิ๊กอ๊อดตอบว่า "ใช่ เหมือนผมอยากทำอะไร ตอนนี้มาเร่งทุกเรื่อง เวลา 1 ปีมันไม่ทัน มันติดข้อบังคับ ระเบียบกฎหมายและขั้นตอน ไม่ทัน อย่างเรื่องปืนสวัสดิการที่เริ่มทำตั้งแต่รับตำแหน่ง จนวันนี้ยังไม่จบ"
   กับคำถามทิ้งท้ายว่า ผบ.ตร.คนใหม่ควรมีเวลามากกว่า 1 ปีใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศยิ้มน้อยๆ ตอบเพียงว่า "ผมพูดทั่วไป พูดจากความรู้สึกของผม ที่เรามานั่งตรงนี้ปีหนึ่งมันสั้นไป ต้อง 2 ปีอย่างน้อย 1 ปีมันน้อยไป"

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!