- Details
- Category: สัมภาษณ์พิเศษ
- Published: Monday, 23 June 2014 22:36
- Hits: 4817
อีโค+โฟกัส: ภาคภูมิ ศรีชำนิ 'ซิโน-ไทย'หลังการเมืองนิ่ง พร้อมแข่งประมูลทุกโครงการ
ไทยโพสต์ : หากพูดถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้าง คงไม่มีใครไม่รู้จัก บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ซึ่งถือเป็นบริษัทชั้นนำอันดับต้นๆ ของประเทศ ‘อีโคโฟกัส’ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน-ไทย ถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ และแผนงานในอนาคต
โดยนายภาคภูมิกล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างว่า ปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะดี มีโครงการของรัฐบาลเดิมที่ยังไม่เป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการบริหารทรัพยากรน้ำ โครงการ 2 ล้านล้าน ก่อสร้างบูมมาก หุ้นก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นกันเป็นแถว แต่หลังจากมีปัญหาเรื่องการเมือง ทำให้รัฐบาลเป็นรัฐบาลรักษาการ ดูเหมือนจะแย่ลง สุดท้ายปรากฏว่า โครงการต่างๆ เช่น โครงการ 2 ล้านล้านชะลอออกไป โครงการน้ำก็ทำท่าจะยกเลิกในตอนนั้น จนสุดท้ายมีรัฐประหาร ปัจจุบันก็ดูเหมือนจะกลับมาดีขึ้น เพราะ คสช.เน้นเรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรื้อฟื้นโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ แทบจะทุกโครงการจากที่ได้สังเกต ติดตาม
"แม้แต่โครงการบริหารจัดการน้ำ ก็เอามาทำเหมือนกัน แต่ยกเลิกของเก่า นั่นคือมุมมองงานในภาครัฐดูเหมือนว่ามีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ส่วนภาคเอกชน เนื่องจากซิโน-ไทย เป็นบริษัทที่มีลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่แล้ว และเป็นช่วงจังหวะที่ได้มีการตั้งเป้าว่าจะเน้นนโยบายจากภาครัฐแลกเอกชนอย่างละครึ่ง
ในช่วงที่มีโครงการ 2 ล้านล้าน เราก็เน้นภาคเอกชนด้วย เนื่องจากไม่อยากทำภาครัฐอย่างเดียว ซึ่งเป็นจังหวะที่เราได้มีการติดต่อลูกค้าใหม่ๆ รวมถึงได้พูดคุยกับลูกค้าที่ติดต่อเรา แต่เรายังไม่ได้เสนอราคา เช่น ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ถือเป็นเรื่องดีที่ได้เพิ่มฐานลูกค้าภาคเอกชน พอรัฐบาลมีปัญหาเราก็มีงานของภาคเอกชนเข้ามาชดเชย"
นายภาคภูมิ กล่าวว่า โดยรวมสำหรับซิโน-ไทย ผลกระทบจากปัญหานี้อาจจะมีบ้างในเรื่องของรายได้รวมต่อปี (Revenue) แต่ไม่กระทบมาก เนื่องจากมีงานที่ตุนไว้เยอะ รวมถึงงานของภาคเอกชนด้วย และได้มีการปรับตัวของบริษัทในภาวะอย่างนี้ โดยหันมารับงานเอกชนมากขึ้น ต้องขยายไปรับงานก่อสร้างห้างสรรพสินค้า นำร่องงานแรกเป็นอาคารจอดรถห้างเซ็นทรัลที่เชียงใหม่
ส่วนแนวโน้มคาดว่าจะดีขึ้น เพราะช่วงรัฐบาลที่แล้ว เหมือนจะแย่ลง เนื่องจากเป็นรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในขณะที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลที่จะเข้ามามีอำนาจเต็ม สามารถจะดำเนินการโครงการได้ ทั้งนี้ มองว่ามีแต่หลักการ แต่ความชัดเจนยังไม่เห็น เช่น ล่าสุดจะมีการประมูลโครงการรถไฟรางคู่ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก็เลื่อนไปเป็นวันที่ 23 มิ.ย. ก็ต้องรอดูว่าจะเปิดประมูลได้ไหม
"ส่วนภาพรวมของบริษัท โชคดีที่เราได้เปิดตัวกับงานเอกชนก่อน ก่อนรัฐบาลมีปัญหา ทำให้เรามีงานที่เป็นยอดรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog เยอะพอสมควร มีรายได้รวมต่อปีกว่า 20,000 กว่าล้าน ขณะที่ Backlog เมื่อต้นปี 2557 มี 50,000 กว่าล้าน นั่นหมายถึงเรามีงานในมือ ถ้าไม่มีงานอะไรเลย ก็ทำให้เรามีงานทำในมือ 2 ปีกว่าๆ
เราทำธุรกิจก่อสร้างอย่างเดียว ไม่ได้ไปลงทุนทำสัมปทาน การที่เรารับงานภาครัฐอย่างเดียว ภาครัฐมีข้อจำกัด คือ ส่วนแบ่งไม่สูงมาก เราก็มีลูกค้าเอกชนมาแล้วตั้งแต่ต้น เพียงว่าขณะนี้โครงการ 2 ล้านล้านของภาครัฐกำลังขึ้น สำหรับสัดส่วนภาคเอกชนกับภาครัฐเมื่อปี 2556 อยู่ที่ 50:50 แต่ Backlog ในปัจจุบัน เรามีของภาครัฐอยู่ประมาณ 2 ใน 3 เอกชน 1 ใน 3 มองว่าสัดส่วนในปัจจุบัน เอกชนกับภาครัฐอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 40:60 ก็ยังเป็นไปตามที่เราได้ตั้งเป้า"
ส่วนการบริหารงานที่ผ่านมา ในปี 2556 ถือว่าเป็นปีแห่งการลงทุนเตรียมความพร้อมหลายด้าน โดยทุ่มงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องมือด้านการก่อสร้างเพิ่ม อีกทั้งยังจัดซื้อที่ดินเกือบ 300 ไร่ย่านบางบัวทอง-ไทรน้อย เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปย่านไทรน้อยที่จะสร้างผลผลิตได้ในกลางปี 2557 โดยจะมีการลงทุนจัดซื้อเครื่องมือเครื่องจักรอีกในปี 2557 แต่จะไม่มากเช่นปี 2556 ที่ผ่านมา โดยจะมีการปรับปรุงเพิ่มเติมโรงงานประกอบชิ้นงานท่อและเหล็กในแถบภาคตะวันออก เพื่อรองรับการเติบโตของงานภาคเอกชน
นายภาคภูมิยังบอกด้วยว่า ในปี 2556 ซิโน-ไทย ได้ทุ่มงบไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท สำหรับการจัดซื้อที่ดิน 2-3 แปลงรวมพื้นที่เกือบ 300 ไร่ ย่านบางบัวทอง-ไทรน้อย เพื่อสร้างโรงหล่อรับแผนพัฒนาเมกะโปรเจ็กต์ปี 2557 ขณะนี้เริ่มปรับปรุงพื้นที่เพื่อให้สามารถทำการผลิตได้ในช่วงกลางปี 2557 นี้ โดยได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปแล้วเมื่อ 16 ต.ค.2556 วัตถุประสงค์หลักเพื่อมุ่งลดต้นทุนโลจิส ติกส์ โดยจะใช้งบอีกราว 200 ล้านบาทเพื่อปรับปรุง พร้อมเร่งศึกษาแผนพัฒนาเชิงพาณิชย์ที่ดิน 40 ไร่ย่านบางนา-ตราด ที่ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการศูนย์เทรนนิ่ง เพื่อพัฒนารองรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ก่อนย้ายศูนย์ดังกล่าวไปรวมไว้ที่โรงหล่อแห่งใหม่ย่านบางบัวทอง
นอกจากนั้น ยังทุ่มงบจัดซื้อเครื่องมือ เครื่องจักรต่างๆ เพิ่มอีกหลายรายการ คาดว่าจะใช้งบกว่า 500 ล้านบาท
สำหรับปี 2556 ที่ผ่านมา ซิโน-ไทยมีสัดส่วนงานภาครัฐประมาณ 45% และงานภาคเอกชนประมาณ 55% ถ้าแยกตามลักษณะงาน เป็นงานโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ประมาณ 35% ด้านพลังงานประมาณ 40% งานอาคารประมาณ 15% โครงการหลักๆ ที่เป็นรายได้ในปี 2556 ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วงและน้ำเงิน, โรงไฟฟ้าหนองแซง สระบุรี, งานถนน east-west corridor ของกรมทางหลวงชนบท, งานขยายท่าอากาศยานภูเก็ต
ส่วนปริมาณงานในมือตั้งแต่ปี 2557 มีงานภาครัฐประมาณ 60% งานภาคเอกชน 40% ซึ่งซิโน-ไทยจะบริหารจัดการสัดส่วนงานภาคเอกชนให้มากขึ้น ก็พอดีกับตลาดงานภาครัฐมีการชะลอตัวในช่วงนี้พอดี ส่วนงานหลักๆ ในปี 2557 ได้แก่ การก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, โรงไฟฟ้าอุทัยและโรงไฟฟ้าขนอม, ขยายท่าอากาศยานภูเก็ต ฯลฯ
เมื่อถามถึงเรื่องโบนัส นายภาคภูมิบอกว่า ปี 2556 ซิโน-ไทย จ่ายโบนัส 8 เดือน โดยปี 2556 คาดว่าผลประกอบการดีขึ้นกว่าปี 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งปี 2555 ก็จ่ายโบนัสให้กับพนักงาน 8 เดือน การให้ครั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนการทุ่มเทของพนักงานและเป็นแรงจูงใจ เพื่อที่จะทำงานอย่างเต็มที่ในปีต่อไปที่จะขยายตัวขึ้นอีก
"เราตั้งเป้าว่า ซิโน-ไทย จะโต 15-20% ทุกปี แม้มีคนส่งข้อสงสัยว่างานเรามีเยอะ ทำไมไม่โตแบบก้าวกระโดด 50% ต้องขอ บอกว่างานใหญ่ๆ โครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่มีมูลค่าเกิน 100,000 ล้านบาท ตลาดคู่แข่งมีไม่เยอะ มีเพียง 4-5 ราย ก็เลยทำให้การแข่งขันไม่สูง แต่มั่นใจว่าเรามีส่วนร่วมกับทุกโครงการที่มีการลงทุน เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ที่มีการแบ่งหลายสัญญา ซิโน-ไทย จะมีส่วนด้วยทุกสี ซึ่งเป็นไปตามกลไกทางการตลาด"
ส่วนโครงการ 2 ล้านล้านที่จะกลับมา มีหลายคนสอบถามว่า ทำไมไม่รีบฉวยโอกาสนี้ ในเมื่อคู่แข่งขันก็น้อย จะได้พัฒนาขึ้น 50-60% เราบอกว่าเราเคยมีประสบการณ์ในอดีตว่า ถ้าเรารับงานเยอะๆ แต่บุคลากรเราพัฒนาไม่ทัน แต่ต้องทำงานเยอะ เหนื่อย เลยตั้งเป้าว่าจะโตเท่าที่สามารถควบคุมต้นทุนได้
เรียกว่าเน้นที่ดีที่สุดดีกว่า
"หลังจากเกิดปัญหาทางการเมือง งานภาครัฐไม่ออกเลย มีแต่งานภาคเอกชน ก็ต้องวางเป้าใหม่ ก็ต้องรอดูว่าปีนี้แนวโน้มจะเป็นอย่างไร หลังจากที่โตปีละ 15% ปี 2557 น่าจะไม่ถึงแล้ว เราก็มาดู 50,000 กว่าล้านที่มีในมือ ถึงกำหนดต้องส่งมอบในปีนี้ ประมาณ 21,000 ล้าน ที่เหลือก็ปี 2558-2559 เราก็คิดว่าต้นปีนี้งานภาคเอกชนต้องมีเข้ามา ก็เลยประเมินว่าคงจะไม่ต่างจากปีก่อนมากนัก แม้ว่าจะมีปัญหา ถึงแม้ไม่โตถึง 15-20% ก็อาจจะโต 5% และปรับลดที่ตั้งเป้าไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ก็อาจจะเหลือ 20,000 ล้านบาท ส่วนปี 2558 ต้องมีงานที่ต้องส่งอีก 18,000 ล้านบาท"
นายภาคภูมิ เชื่อว่า หากงานของภาครัฐไม่ติดปัญหาอะไร เช่น โครงการรถไฟฟ้ารางคู่, รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิ-สะพานใหม่, ขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งใจเข้าร่วมประมูล เชื่อว่าในปี 2558 จะโตขึ้นอีก 5-10%
นอกจากนี้ ยังมีโครงการภาคเอกชนหลักๆ เลยที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเยอะมาก คือเรื่องของโรงไฟฟ้า รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีคัล ซึ่งเป็นงานที่ถนัด ซิโน-ไทยเกิดมาจากงานด้านตรงนี้ ล่าสุดที่มีการขยายลูกค้าเป็นฐานเอกชนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการรับงานห้างสรรพสินค้า และโรงแรมต่างๆ
ล่าสุด ได้ไปรับงานที่ สปป.ลาว การเข้าไปรับงานต่างประเทศเริ่มเข้าไปแล้ว จากเคยพูดตลอดว่าไม่รีบร้อน รอศึกษาอยู่ ที่ใกล้เคียงความเป็นจริงคืองานสร้างถนนที่ สปป.ลาว เชื่อมด่าน บ้านฮวก จ.พะเยา ทะลุไปแขวงไซยะบุรี ฝั่ง สปป.ลาว จะยกระดับด่านชั่วคราวเป็นด่านถาวร ระยะทาง 50 กม. มี 2 สัญญามูลค่าสัญญาละ 600 ล้านบาท บริษัทเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด 1 สัญญา จะเซ็นงานเร็วๆ นี้
มาถึงตรงนี้ ก็เริ่มไปแตะๆ อาเซียน แต่นโยบายของซิโน-ไทย จะเน้นการดูเรื่องความเสี่ยงต่างๆ โครงการแรกที่เราเข้าไปทำ จึงไม่ใหญ่มาก จึงขอเริ่มโครงการเล็กๆ ก่อน ส่วนที่อื่นมีการพูดคุยและมีการติดตาม เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศพม่า ในส่วนของประเทศอื่นๆ จะขอดูเงื่อนไขต่อไป
สำหรับ จุดประสงค์ที่เข้าไปทำงานเล็กๆ เพื่อเข้าไปเรียนรู้เรื่องกฎ กติกา เพราะเชื่อว่าในอาเซียน ซิโน-ไทยถ้าเทียบกับผู้รับเหมาในอาเซียน ซิโน-ไทยอยู่อันดับต้นๆ
ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงาน บริษัทรู้ว่าจะต้องมีปัญหาเรื่องขาดแคลนแรงงาน ธุรกิจเรารู้ปัญหางานก่อสร้างค่อนข้างดี ได้มีการทำสัญญากับแรงงานต่างด้าว แรงงานเขมร พม่า มา 3-4 ปีแล้ว บริษัทมีแรงงานต่างด้าว 3,000-4,000 คน แรงงานไทยมี 8,000-9,000 คน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างแน่นอน
"ต้องบอกว่า เรามีความชัดเจนในการจ่ายค่าแรงตามกฎหมาย มีศูนย์พัฒนาแรงงานต่างด้าวก่อนที่จะเข้ามาทำงาน ต้องผ่านการอบรมเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย ส่วนปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เกิดขึ้นล่าสุดที่เดินทางกลับประเทศ ซึ่งได้รับเป็นข่าวลือ ทำให้เกิดความกลัวว่าจะมีการขู่ฆ่า เราได้ส่งคนไปชี้แจงตามศูนย์ฝึก ตามแคมป์คนงาน ปรากฏว่าได้มีการตรวจเช็กหายไปเพียง 10 คน ซึ่ง 10 คนถือเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่กระทบ คือ ผู้รับเหมาย่อยๆ ที่ต้องใช้แรงงานต่างด้าว ส่วนผลกระทบทางอ้อม คือ ผู้รับเหมารายย่อยที่จ้างแรงงานผิดกฎหมาย เมื่อแรงงานต่างด้าวหนีกลับประเทศ เขาก็มาดึงแรงงานของเราไป"
สำหรับ ประเด็นที่จะฝากให้รัฐบาลช่วยดูแล คือ เรื่องของปัญหาแรงงานต่างด้าว ช่วยเห็นใจผู้รับเหมาขนาดกลาง ขนาดเล็ก ช่วยดูแลเรื่องตรวจสอบแรงงานให้ถูกตามกฎหมาย รวมถึงเร่งดำเนินการต่อในส่วนของโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่จะมีนโยบายออกมา อย่างน้อยจะเป็นประโยชน์กับผู้รับเหมารายใหญ่
สุดท้ายแล้ว ประโยชน์จะลงไปสู่รากหญ้า....