- Details
- Category: สัมภาษณ์พิเศษ
- Published: Sunday, 28 December 2014 17:59
- Hits: 7235
อาทิตย์เอกเขนก: กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร 'เน้นสามัคคี ไม่มีพวกเรา-พวกเขา'
ไทยโพสต์ : อาทิตย์เอกเขนกฉบับนี้ ถือเป็นการปิดท้ายปลายปี 2557 พร้อมรับปี 2558 หรือปีมะแม (ปีแพะ) ถือเป็นโอกาสดีๆ ที่เราจะได้มารู้จักกับรัฐมนตรีหญิงคนแรกของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คงไม่มีใครไม่รู้จัก
กอบกาญจน์ วัฒนรางกูร หรือ "บิ๊กน้อง" หรือฉายาที่สื่อมวลชนเรียกขานกันว่า "เจ้าแม่โตชิบา" นั่นเองกอบกาญจน์ มีชื่อเล่นว่า "น้อง" เกิดเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2503 เป็นบุตร ดร.กร สุริยสัตย์ และท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ เป็นทายาทคนที่สองของตระกูล
ดร.กร สุริยสัตย์ เป็นลูกชายของ พล.ต.พระสุริยสัตย์ อดีตเจ้ากรมการเงินกระทรวงกลาโหม และ ผอ.สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยราชทินนาม "สุริยสัตย์" หมายถึง "ซื่อสัตย์ดั่งดวงอาทิตย์" ส่วนท่านผู้หญิงนิรมล เป็นบุตรสาวของคหบดีเก่าแก่ตระกูล "บูลกุล" พ่อค้าข้าวรุ่นบุกเบิกของเมืองไทย คุณพ่อชื่อมา คุณแม่ชื่อบุญครอง ซึ่งกลายเป็นชื่อของศูนย์การค้ามาบุญครองในปัจจุบัน
ปัจจุบัน "บิ๊กน้อง" สมรสกับ พ.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร มีบุตรธิดา 2 คน คือ ด.ช.ภากร วัฒนวรางกูร และ ด.ญ.แพรวา วัฒนวรางกูร
ด้านการศึกษา สำเร็จการศึกษาจากเวลเลสเลย์ คอลเลจ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ, จบปริญญาตรีด้านสถาปัตยกรรม ที่คณะการออกแบบ มหาวิทยาลัยโรดไอแลนด์ รัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา เคยได้รับประกาศนียบัตรโครงการอบรมผู้อำนวยการ และอบรมบทบาทของประธาน จากสถาบันส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย รุ่นที่ 1 เมื่อปี 2543 ประกาศนียบัตรหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 19 ปี พ.ศ.2549
บิ๊กน้องถือเป็นนักธุรกิจสตรีไทย ที่ได้ดำเนินธุรกิจด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและธุรกิจคอมพิวเตอร์ เป็นผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์อย่างสูง จนเป็นที่ยอมรับในวงการธุรกิจ
ปี 2547 ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 13 นักธุรกิจสตรีชั้นนำระดับโลก, ปี 2548 ได้รับรางวัล เปรียว อวอร์ด ซึ่งมอบให้เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม, ปี 2550 ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นจากนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2550 จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ปี 2550 ได้รับรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2550 จัดโดยสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"บิ๊กน้อง" ยังพกดีกรีในด้านสังคมอื่นๆ อีกยาวเป็นหางว่าว เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหญิงคนแรกของประเทศไทยรายนี้
แต่งานอีกด้านที่ท้าทายบทบาทใหม่ของ "บิ๊กน้อง" นั่นคือ "งานกีฬา" ที่มีหลากหลายภารกิจสำคัญรอให้ "บิ๊กน้อง" เข้ามาสะสาง
"บิ๊กน้อง" เล่าว่า ที่ผ่านมาเคยสัมผัสงานกีฬา เคยสัมผัสคนกีฬามาแบบผิวเผินเท่านั้น ก่อนหน้านี้เคยเป็นกรรมการกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งประเทศไทย และเคยจับมือกับรัชนีวรรณ บูลกุล ผู้อำนวยการสเปเชียลโอลิมปิกแห่งประเทศไทย สนับสนุนทีมฟุตบอลยูนิฟายด์สเปเชียลโอลิมปิกไทยจนกระทั่งไปแข่งขันระดับโลกมาแล้ว
ส่วนแนวทางนโยบายการบริหารงานดำเนินการมี 4 เรื่อง คือ 1.ทำงานทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ 2.ลดความซ้ำซ้อนการทำงานในกระทรวง จัดสรรการใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพ หารือร่วมวางแผนทำงานพร้อมดำเนินการร่วมกับกระทรวงอื่นมากขึ้น 3.บูรณาการทำงาน ร่วมกันทั้งในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงจุด และ 4.วางแผนการทำงาน โดยเน้นความรวดเร็วภายใต้ระยะเวลาอันสั้น โดยให้ทุกหน่วยงานนำเสนอแผนเป็นรายสัปดาห์ ไม่ใช่รายเดือน เพื่อให้รัฐมนตรีได้ติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติงาน เนื่องจากรัฐบาลจะขอตรวจงานทุก 3 เดือน และมองว่าความรวดเร็ว เป็นสิ่งสำคัญในการ กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายและเพิ่มจำนวนวันพักมากขึ้น พร้อมทั้งได้กำชับไปยังข้าราชการในกระทรวงให้ทำงานด้วยความสามัคคี
"จากนี้ไปอยากให้เน้นความสามัคคีไม่มีพวกเรา ไม่มีพวกเขา เรามีเวลาสำหรับวันนี้และอนาคต และมีเวลาบริหาร 12-18 เดือน ฉะนั้น การทำงานต้องยึดหลัก 4 ประการดังกล่าว"
ส่วนการทำงาน แน่นอนว่าต้องมีแผนที่ชัดเจน "บิ๊กน้อง" ลั่นว่า เป้าหมายรายได้จากท่องเที่ยวปี 2558 ที่ 2.2 ล้านล้านบาท มี 9 ประเด็นต้องดำเนินการ เช่น มองว่าต้องกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นด้วย ไม่ใช่รายได้ตกอยู่ที่โรงแรมและร้านอาหารเท่านั้น และต้องกระจายแหล่งท่องเที่ยวจากจังหวัดใหญ่ไปยังจังหวัดรอง พร้อมหาแนวทางให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินมากขึ้น สร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่นักท่องเที่ยวมาจำนวนมาก แต่ขยะก็มากตามไปด้วย
"ต้องปรับปรุงระบบให้บริการนักท่องเที่ยวที่สนามบิน เพื่อให้เกิดความประทับใจตั้งแต่แรกที่เดินทางถึงเมืองไทย โดยจะหารือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสายการบินต่างๆ เพื่อช่วยเหลือตรงนี้ โดยเฉพาะปัญหาความล่าช้าการตรวจวีซ่าของ ตม. ในช่วงที่นักท่องเที่ยวมีจำนวนหนาแน่น"
ส่วนเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว "บิ๊กน้อง" บอกว่า ถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งจะร่วมกับตรวจท่องเที่ยว จัดโครงการอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว หลังจากจำนวนตำรวจท่องเที่ยวมีเพียง 800 นาย ซึ่งมองว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมทางการท่องเที่ยวที่พบค่อนข้างมากในปัจจุบัน
นอกจากนี้ มองว่ายังต้องการลดงบประมาณจัดงานอีเวนต์ที่มีมากเกินไป มาใช้ปรับปรุงห้องน้ำตามสถานที่ต่างๆ เพราะถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยว พร้อมกับการสร้างทางลาด เพื่อรองรับรถเข็นคนพิการและสูงอายุ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในอาเซียน โดยเฉพาะให้คนในอาเซียนมองประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
ต้องเอาใจช่วย "บิ๊กน้อง" กับงานบิ๊กๆ ที่รออยู่ข้างหน้า.