- Details
- Category: สัมภาษณ์พิเศษ
- Published: Tuesday, 02 December 2014 07:20
- Hits: 7635
วิวัฒน์ ตีระวนิชพงศ์ เปิดใจนั่ง ผจก.AFET ลุยแก้เกณฑ์-ปรับเวลา-เพิ่มโบรกฯ
'วิวัฒน์ ตีระวนิชพงศ์'กรรมการและผู้จัดการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย(AFET)คนใหม่เปิดใจรับหน้าที่กุมบังเหียนหลังก่อตั้งมาครบ 10 ปี เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ 16 ธ.ค.แก้กฏเกณฑ์ค่าธรรมเนียม การปรับเปลี่ยนเวลาเทรดให้สอดคล้องกับตลาดต่างประเทศ การเพิ่มจำนวนโบรกเกอร์ เชื่อหากเดินตามแผน 1-2 ปี น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และเห็น 1,000 สัญญา/วันทำได้แน่
*จากผู้บริหารบริษัทใหญ่
"ผมเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะครบวาระ 30 กันยายน 2561 ถือเป็นผู้จัดการ AFET คนที่ 7 ปัจจุบันอายุ 53 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีสาขาอุตสาหกรรมเกษตร-วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาโทสาขา MBA-FinanceจากUniversity of Scranton, Pennsylvania, U.S.A.หลังจากเรียนจบเริ่มงานด้าน Maritime Chartering Business ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นเดินทางกลับประเทศไทยทำงานในเครือปูนซิเมนต์ไทยด้านการค้าระหว่างประเทศ 17 ปี รวมการเป็นผู้จัดการสาขาในต่างประเทศ 6 ปี ต่อจากนั้นย้ายมาทำงานในเครือบริษัทน้ำตาลมิตรผลเป็นเวลา 7 ปี รวมการประจำสาขาในประเทศจีนเป็นเวลา 4 ปี ตำแหน่งล่าสุดก่อนจะมาอยู่ AFET คือผู้จัดการตลาดในเครือน้ำตาลมิตรผล"
*ยอมรับยังมีอุปสรรค เร่งแก้กฎเกณฑ์-ปรับเวลาเทรด-เพิ่มโบรกเกอร์
"วันแรกที่ผมเข้ามารับหน้าที่คุม AFET ผมทำงานหนักมาก ดูทุกอย่างย้อนหลังตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมาก็รู้ว่าอุปสรรคสำคัญที่ AFET ยังเดินไม่แข็งเพราะ 3 อย่าง อย่างแรก คือ กฎเกณฑ์ ต้องยอมรับว่าบ้านเรากฎเกณฑ์แข็งเกินไป โดยเฉพาะค่าธรรมเนียม ผมอยากลดให้เหลือ 0 แต่ปัญหามีเยอะมาก เพราะตามกฎหมายลดเหลือ 0 ไม่ได้ แต่ของตลาด TFEX ตลาดสิงคโปร์ ค่าธรรมเนียมต่ำมาก คนเข้ามาเยอะเลย แต่ทำไมของเราลดไม่ได้...เก็บค่าธรรมเนียมสูงๆ ประตูที่จะเปิดต้อนรับนักลงทุนมันกว้างนิดเดียว แต่ถ้าลดค่าธรรมเนียมประตูจะกว้างขึ้นเลย จากปัจจุบัน 450 บาท ให้เหลือสัก 80 บาทก็พอแต่มันมีคนที่ไม่ยอมอยู่...ผมเคยเอาเรื่องนี้เสนอบอร์ด AFET แล้วแต่โดนตีตกลงมาให้มาศึกษาใหม่ แต่คุยกับคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.)แล้วซึ่งเขาเห็นด้วย เพราะอยากให้ตลาด AFET โต...เดี๋ยวจะพยายามคุยกับโบรกเกอร์ด้วยและจะเอาเข้าบอร์ดอีกทีวันที่ 16 ธ.ค.
พร้อมกับเสนอเรื่องปรับเปลี่ยนเวลาในการเทรดให้เร็วขึ้น เพราะเป็นอย่างที่สอง คือ การปรับเวลาเปิดเทรดให้เร็วขึ้น เป็น 08.00 น.จากเดิม 10.00 น.เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาเทรดของตลาดต่างประเทศ เซี่ยงไฮ้เปิด 8 โมงบ้านเรา, TOCOM ประเทศญี่ปุ่นเปิด 7 โมง แต่จะเริ่ม Active จริงๆ 8-9 โมง, SICOM สิงคโปร์ เปิดเช้ากว่าเพื่อนเลย เปิด 06.50 น.ของเรากว่าจะเปิด 10 โมง ใครจะเข้ามาเพราะมีเวลาเทรดแค่ไม่กี่นาที ตลาดวายหมดแล้ว...เราปรับมาเปิด 8 โมงจะได้มีตลาดให้นักลงทุน Hedging ก็จะเสนอบอร์ดวันที่ 16 ธ.ค.เช่นกัน
อีกเรื่อง คือเรื่องโบรกเกอร์ ตอนนี้มีโบรกเกอร์อยู่ 10 ราย ถามว่าพอมั้ย ไม่พอหรอก ต้องหาโบรกเกอร์เลือดใหม่ให้เยอะเท่าที่จะเยอะได้ อยากให้มีสัก 20 ราย แต่ตลาดต้องมีสภาพคล่อง ถ้าไม่มีสภาพคล่องไม่มีใครเข้ามาเหมือนกัน ต้องทำให้จำนวนสัญญาต่อวันเยอะ อย่างน้อย 1,000 สัญญา/วัน ถือว่าโอเคเลย แต่ตอนนี้สภาพคล่องเราต่ำมากเฉลี่ยไม่ถึง 300 สัญญา/วัน
หลายปีที่ผ่านมาโบรกเกอร์ใหม่เข้ามาแล้วก็ออกไป เข้ามาแล้วก็ออกไป...บล.เอเชียพลัสเคยเข้ามาก็ออกไปแล้วเพราะมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน AFET ผมเชื่อว่าโบรกเกอร์เองก็อยากโตต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่มันมีอุปสรรคบางอย่างต้องละลายความคิดนั้นๆ ให้ได้...คือโบรกฯก็อยากโตเหมือนกันแต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากทำอะไร...เหมือนกับกินข้าวเข้าไปเพื่อให้โต แต่เอาเข้าจริงกินข้าวแล้วก็ยังไม่โต ก็จะกินอยู่แบบนั้นเหรอ ทำไมไม่เปลี่ยนอาหาร
.ตอนนี้ชงทุกเรื่องแล้วให้ลองดูแต่ก็ถูกปฏิเสธ...มีที่เอาด้วยคือลดค่าใช้จ่ายให้โบรกเกอร์เกือบหมดแล้ว ทั้งค่าอินเทอร์เน็ตเทรด แต่บอร์ดที่เป็นโบรกเกอร์เองก็ถามว่าจะลดต้องมีเหตุผลในการลดให้นะว่าเพราะอะไร ทำไม...ผมก็ตอบกลับไปว่าผมอยากให้ยอดมันโต ไม่อยากให้แคระแกนแบบนี้ไปเรื่อยๆ...ถ้าไม่งั้นผมก็ช่วยไม่ได้แล้ว"
*มองตลาดล่วงหน้าต้องอาศัยเวลา
"ถ้าเปรียบเทียบ AFET กับตลาดอื่นๆ ก็เดินมาในแนวทางเดียวกัน อย่าง SET กว่าจะบูมได้ 30 ปี ตลาดล่วงหน้าของมาเลเซียที่เรียกว่า Bursa จะบูมได้ก็ประมาณ 20 กว่าปี ช่วง 10 ปีแรกทุกที่ลุ่มๆ ดอนๆหมดเลย คือมันมาในทิศทางเดียวกันหมด เพราะว่าสินค้าฟิวเจอร์สหรือตลาดฟิวเจอร์สของแต่ละประเทศมีลักษณะหรือ Character แตกต่างกัน เอาของคนนึงมาใช้กับอีกคนนึงไม่ได้
แต่มีอยู่ประเทศเดียวที่เอาของคนอื่นมาใช้แล้วบูมภายใน 2-3 ปีคือประเทศจีน คือตลาดเจิ้นโจว (Zhengzhou Exchange Commodity) เพราะมีการส่งทีมไปดูงานที่ Chicago พอกลับมาก็เปลี่ยนทุกอย่างแต่สิ่งที่ยังอยู่คือเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่เค้าเอามาใช้ในการ Bid-Offer มันเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยมาก ระบบฟิวเจอร์สถ้าจะทำให้โตและเกิดได้ต้องมีระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย อย่าง Bursa พอเปิดได้ก็หาวิธีต่างๆนานาทั้งควบรวมตลาดเงินกับตลาดฟิวเจอร์สด้านเกษตร ควบรวมตลาดโน่นนี่แต่ก็ยังไม่สำเร็จ อยู่กับที่ ก็เลยไปคุยกับ Chicago ให้เข้ามาถือหุ้น 20-25% เพราะอยากใช้เทคโนโลยีเข้ามาเทรดฟิวเจอร์ส และดึงเทคโนโลยีทั้งหมดเข้ามาใช้ ทำให้การ Match ระหว่าง Bid กับ Offer ใน 1 นาทีมหาศาล คนเข้ามาได้จากทุกทิศทาง
เพราะฉะนั้นทำให้รู้ว่าการควบรวมไม่ใช่คำตอบ หรือวิธีที่ทำให้ตลาดเกิดแต่ทำให้ตลาดรวมกันเท่านั้นเอง แต่เทคโนโลยีต่างหากที่ทำให้ตลาดใหญ่ขึ้น ทำให้ตลาดเกิดขึ้น นั่นคือที่มาทำให้ตลาด Bursa บูมในชั่วพริบตาแต่สินค้าที่เกิดก็มีแต่เดียวคือปาล์มน้ำมัน มีการเทรดกันเยอะมาก อีกอย่างปริมาณความต้องการในต่างประเทศมีมากมายมหาศาล ทั้งกลุ่มผู้ผลิต ผู้ซื้อ และกลุ่มที่นำไปส่งออก 3 กลุ่มนี้จะเข้ามาเทรดเยอะมาก อีกกลุ่มที่เยอะเหมือนกันคือกลุ่มเก็งกำไร (Speculator)
ตลาดฟิวเจอร์สจะโตหรือไม่โต ดูจาก Volatility หรือ ความเคลื่อนไหวของราคา ความผันผวนของตลาด ปริมาณผู้เล่นในแต่ละวันหลักพัน ตลาดสิงคโปร์ก็หลักพัน แต่หลังๆเริ่มลดลงเหลือประมาณ 5% แต่ AFET เรา Volatility ประมาณ 20% เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของผู้เข้ามาหาผลประโยชน์ได้ ยิ่ง Volatiliity ยิ่งกว้างจะยิ่งมีคนเข้ามา แต่เค้าไม่เข้ามาเพราะตลาดบ้านเรามีอุปสรรค"
*เชื่อ 1-2 ปีเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
"อีกอย่างนึงที่ผมต้องทำคือทำงบบัญชีให้เป็นสีเขียว...ผมนั่งดูบัญชีย้อนหลัง 3-4 ปีที่ผ่านมาตัวแดงตลอด ก็เพราะยอดมันไม่โต แต่ถ้าเดินตามแผนหรือแนวทางการดำเนินงานอย่างที่ผมเล่าไป...แก้ปัญหาแค่ไม่กี่ข้อที่ว่า ซึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่พอสมควร แต่ถ้าเริ่มแก้ได้ทุกอย่างมันจะเดินไปเอง...ต้องช่วยกัน ถ้าให้ผมเริ่มคนเดียว คิดคนเดียว ทำคนเดียว แต่คนอื่นไม่เอาด้วย คนในวงการไม่เอาด้วย มันจะแก้ยังไง..ทุกอย่างมันต้องลองก่อนจะอยู่แบบเดิมๆไปเรื่อยๆงั้นเหรอ ลองไปก่อนสัก 3 เดือน...ถ้าแก้ได้นะ 1,000 สัญญา/วันทำได้แน่...2015-2016 น่าจะได้เห็น AFET เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น...ตอนนี้กำลังใจดี มีแต่คนให้กำลังใจ บอกให้อยู่จนครบวาระ"นายวิวัฒน์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
อินโฟเควสท์