- Details
- Category: บทความทั่วไป
- Published: Saturday, 30 August 2014 22:34
- Hits: 4136
ปล่อยกลไกตลาดขับเคลื่อน...หนทางแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร
ต้องยอมรับว่า โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติอาหารแพงอย่างถ้วนหน้า รวมถึงราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ล้วนถีบตัวสูงขึ้น และยังคงมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นต่อเนื่องมีผลทำให้เกิดการใช้พืชพลังงานทดแทน เช่น มันสำปะหลัง อ้อย น้ำมันปาล์ม และข้าวโพด มาผลิตไบโอดีเซลและเอทานอล มีผลทำให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารลดน้อยตามไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งที่เรียกว่าเป็นปัญหาระดับโลก ก็คือ ภาวะโลกร้อน จากสภาพอากาศที่เลวร้ายทั่วโลกอุบัติภัยทางธรรมชาติมากมาย ทำให้การผลิตพืชผลเกษตรเสียหาย รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู และกุ้ง ก็เสียหายไปทั่วโลก ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรของโลกในปีนี้ลดลงอย่างน่าตกใจ ขณะเดียวกัน การบริโภคที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่มีมากขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มจากกว่า 7,000 ล้านคนในปัจจุบัน เป็น 9,000 ล้านคน ในปี 2050 มาถึง และหากยังผลิตอาหารในอัตราปัจจุบัน จะมีประชากรโลกราว 1,000 ล้านคนที่อาจประสบความอดอยาก เมื่อผนวกกับการลงทุนที่น้อยเกินไปในภาคเกษตรกรรมด้วยแล้ว ผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้อาหารของโลกขาดแคลน และระดับราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ประเทศไทยเราเอง ก็หนีไม่พ้นสถานการณ์ดังกล่าว นอกเหนือไปจากการที่พืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ถูกแย่งไปผลิตพลังงานทดแทนทำให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์สูงขึ้นแล้ว สภาพอากาศที่แปรปรวนยังส่งผลถึงภาคปศุสัตว์เพราะทำให้สุขภาพสัตว์อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำและเกิดโรคระบาดได้ง่าย ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยกว่าความต้องการบริโภค กระทบเป็นลูกโซ่ถึงราคาขายที่ต้องพุ่งสูงขึ้นเป็นธรรมดาตามหลักอุปสงค์อุปทานยกตัวอย่าง ไก่เนื้อและไก่ไข่ ที่ได้รับผลกระทบจากช่วงเปลี่ยนฤดูในขณะนี้ ทำให้โรคระบาดที่กำลังทุเลากลับมาระบาดใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมทำให้ปริมาณผลผลิตไข่ไก่น้อยลง และราคาเริ่มขยับเพิ่มขึ้นซึ่งก็เป็นไปตามกลไกเช่นกัน
กลไกตลาดเป็นเศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ที่ว่าด้วยเรื่องอุปสงค์-อุปทาน หรือดีมานด์-ซัพพลาย หรือจะเรียกกำลังซื้อ-กำลังผลิต ก็สุดแท้แต่ใครจะถนัดใช้คำไหน แต่หลักใหญ่ใจความ ก็คือ เมื่อมีความต้องการซื้อเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น แต่กำลังผลิตเท่าเดิมหรือลดลง ย่อมส่งผลทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นเป็นธรรมดา และเป็นเรื่องรับรู้ได้ในระบบเศรษฐกิจการค้าเสรีที่มีการแข่งขันกันระหว่างผู้ผลิตแต่ละราย
อันที่จริง การขายสินค้าเกษตรได้ในราคาดี ย่อมทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น พอที่จะลืมตามอ้าปากได้บ้าง หลังจากที่บางช่วงเวลาต้องประสบปัญหาราคาตกต่ำจนขาดทุนกันระเนระนาด ดังที่เคยเกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงไก่ไข่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา หรือกับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่ต้องทยอยนำลูกหมูไปทำหมูหันขายในราคาถูกมากเมื่อช่วงราคาตกต่ำ ซึ่งช่วงนั้นก็ไม่เห็นภาครัฐยื่นมือเข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด วันนี้ที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มุ่งแก้ปัญหาทั้งเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งปัญหาของพี่น้องเกษตรกร อย่างราคายางที่ตกต่ำในช่วงนี้ที่กลไกภาครัฐก็เข้ามาช่วยพยุงราคา จึงอยากฝากรัฐบาลชุดใหม่ให้ดูแลทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคควบคู่กันไป ส่วนแนวทางก็ไม่ได้ยากเย็น เพียงแค่ปล่อย "กลไกตลาด" เป็นตัวควบคุมราคา ทุกฝ่ายก็จะได้รับประโยชน์ที่สมดุลกันถ้วนหน้า... .ในทางกลับกันหากเลือกใช้วิธีควบคุมราคาสินค้าเกษตรมากจนเกินพอดี มันเป็นการบิดเบือนตลาด และทำลายระบบ ตลอดจนเป็นการเร่งให้เกษตรกรรายย่อยต้องล้มหายตายจาก...สุดท้ายผู้บริโภคก็ต้องซื้อสินค้าเกษตรในราคาสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กลับเข้ามาที่เรื่องไข่ไก่อีกครั้ง วันนี้ยังมีหลายคนไม่เข้าใจและมองว่าการส่งออกไข่ไก่ออกไปทำให้ปริมาณไข่ไก่ในประเทศไม่เพียงพอ ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง ก็คือ ผู้ที่ส่งออกไข่ไก่จะต้องเสียสละและรับผิดชอบส่วนต่างในการส่งออกเอง เรียกง่ายๆ ก็คือเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพราคาในประเทศ ดังนั้น ในขณะที่ราคาในประเทศเริ่มดีขึ้นอยู่แล้ว ผู้ประกอบการก็ต้องยิ่งพากันหลีกเลี่ยงการส่งออกไข่ ข้อกล่าวหาเรื่องส่งออกไข่ทำไข่ในประเทศน้อยลงจึงตกไป
สำหรับ เรื่องของหมูต้องบอกว่า วันนี้ ยิ่งจำเป็นต้องอาศัยกลไกตลาดเข้ามาช่วยขับเคลื่อน เพราะขณะที่ปริมาณหมูไม่เพียงพออยู่นั้น ในฐานะผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนไปบริโภคสินค้าชนิดอื่นทดแทน เมื่อปริมาณหมูจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในตลาดจะฉุดราคาให้เข้าสู่ภาวะสมดุลเอง และในฐานะพ่อค้าเขียงหมู ต้องยอมรับว่าอาจมีกำไรน้อยลงจากการที่ไม่มีหมูขาย พ่อค้าคนกลางคือธุรกิจที่ซื้อมาขายไปไม่ต้องรับความเสี่ยงมากนัก หากกำไรน้อยก็หยุดขายสักวันสองวัน แล้วค่อยเริ่มขายใหม่ได้ แตกต่างกับเกษตรกรที่ต้องรับผิดชอบต้นทุนการเลี้ยง และการรับมือกับโรคระบาด กว่าจะได้ผลผลิตหมูมาได้สักตัวใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
เหล่านี้ คือ ส่วนหนึ่งของกลไกตลาดที่กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ คงต้องขอวอนผู้บริโภคให้เข้าใจว่าเป็นเพียงระยะหนึ่งเมื่อทุกอย่างสู่สมดุล ราคาหมูเห็ดเป็ดไก่ก็จะลดลงเอง กลัวก็แต่จะเข้าสู่ภาวะตกต่ำอีกอย่างที่เคยเป็นมา และคงต้องขอวอนภาครัฐไม่เข้าไปแทรกแซงกลไกก็จะทำให้สถานการณ์เข้าที่เข้าทางเอง...
เพราะต้องไม่ลืมว่า...“กลไกตลาด” คือ หัวใจของการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นหัวใจที่ทั่วโลกเขาใช้กันในระดับสากล