- Details
- Category: บทความทั่วไป
- Published: Sunday, 06 July 2014 12:49
- Hits: 3743
วันที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 02:02 น. ข่าวสดออนไลน์
ปมร้อน'สลาก'เกินราคา วัดใจ'คสช.'หักคอ'5เสือ'
ข่าวสด เศรษฐกิจ
การจำหน่ายสลากกินแบ่งเกินราคากลายเป็น "วาระเร่งด่วน" ของคสช. ที่ต้องการเข้ามาคืนความสุขให้ประชาชน บนหลักความคิดที่ว่าเป็นโครงการที่ผู้มีรายได้น้อยได้รับ ผลกระทบ มีความสำคัญในการสร้างรายได้-ขายฝัน เป็นที่นิยมของประชาชน
แต่การเดินหมากครั้งนี้ของ คสช.กลับไม่ง่ายเหมือน โครงการอื่นๆ
เพราะหลังจากทุบโต๊ะสั่งให้ราคาสลากไม่เกิน 80 บาท ต่อฉบับ (1 คู่) ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้กลายเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ที่มีรายได้จากการขายสลากต่อคู่ไม่เกิน 10 บาท
เจอปัญหาตามมาทันที เพราะผู้ค้ารายย่อยที่ส่วนใหญ่รับสลากจากยี่ปั๊ว หรือซาปั๊วมาก็ราคาเกิน 80 บาทแล้ว
กระทั่งมีเสียงเรียกร้องให้ไปจัดการกับต้นทาง มากกว่าจะมาเล่นงานปลายทางคือผู้ค้าสลากรายย่อย
พร้อมกับขอให้ คสช.เข้าไปจัดระเบียบกรณี "โควตา" ของ "สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล" ที่มีกลุ่ม "5 เสือ" กองสลาก อยู่เบื้องหลัง รับโควตาก่อนบวกราคาขายต่อกันมาเป็นทอดๆ จะเป็นการแก้ปัญหาราคาสลากได้ตรงจุดมากกว่า
แต่จะทำได้หรือไม่ยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะกรณีสลากเกินราคานั้นแทบทุกรัฐบาลพยายามแก้ไขมาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ไม่เคยทำได้ เนื่องจากเกี่ยวพันกับบุคคลผู้ทรงอิทธิพล และผลประโยชน์มากมายมหาศาล
โดยโครงสร้างสลากในปัจจุบันผลิตจำหน่ายต่องวดอยู่ที่ 72 ล้านฉบับ ในจำนวนนี้แบ่งออกเป็น 50 ล้านฉบับ หรือ 5 แสนเล่ม จำหน่ายให้ผู้ที่ได้รับโควตารายย่อยส่วนกลาง 1.46 แสนเล่ม รายย่อยส่วนภูมิภาค (จัดสรรผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและคลังจังหวัด) 1.9 แสนเล่ม จำหน่ายแก่นิติบุคคล 1.72 หมื่นเล่ม องค์กร/มูลนิธิและสมาคม 1.35 แสนเล่ม และมูลนิธิสำนักงานสลากฯ 1.02 หมื่นเล่ม
อีกส่วนหนึ่งเป็นสลากการกุศล จำนวน 22 ล้านฉบับ หรือ 2.2 แสนเล่ม จัดสรรให้กับนิติบุคคล (บริษัท, หจก.) 1.17 แสนเล่ม และสมาคมคนพิการ องค์กรการกุศลอีก 1.02 แสนเล่ม
สําหรับราคาสลากที่ 80 บาทต่อคู่นั้น โควตาในส่วนของนิติบุคคลจะได้รับส่วนลด 9% เหลือใบละ 72.80 บาท หรือได้กำไรต่อคู่ที่ 7.20 บาท ขณะที่รายย่อยที่มีโควตากับ สำนักงานฯ กว่า 3 หมื่นราย หรือ 67% ของโควตาทั้งหมด จะได้รับส่วนลด 7% เหลือคู่ละ 74.40 บาทหรือมีกำไรคู่ละ 6.60 บาท
ในแต่ละงวดสลากจะพิมพ์ออกมา 72 ล้านฉบับ หรือเพียง 36 ล้านคู่เท่านั้น โดยรูปแบบของสลากที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ. สลากกินแบ่งรัฐบาล 2517 กำหนดให้เป็นในลักษณะขายขาดให้กับตัวแทน ไม่สามารถคืนได้
นั่นหมายความว่าในแต่ละงวดจะมี "กลุ่มตัวเลข" ที่ผู้ซื้อไม่เป็นที่นิยม เช่น เลขที่ออกไปแล้ว หรือเลขซ้ำ คิดเป็นประมาณ 10-15% ของสลากแต่ละเล่ม (100 คู่) ซึ่งส่วนนี้ผู้ค้ารายย่อยจะต้องแบกรับความเสี่ยงจากการขาดทุนไปเอง
ขณะเดียวกันรายได้ของรายย่อยจากการรับสลากไปขายในแต่ละงวด เมื่อเทียบกับภาระค่าครองชีพในปัจจุบัน ที่ประมาณ 2,800 บาทต่อเดือน (กรณีขายหมดจากจำนวนที่ได้รับจัดสรรจำนวน 5 เล่มต่องวด) ถือว่าไม่จูงใจ และเป็นภาระที่จะไปเร่ขายเองให้หมด
ดังนั้น จึงทำให้สลากเกือบทั้งหมดในโควตาของตัวแทนที่ได้รับจัดสรรจะขายส่งกลับคืนไปให้นายทุน นิติบุคคล กลุ่ม 5 เสือเดิมที่แปลงสภาพใหม่ ตั้งแต่วันที่ 2 และ 17 ของทุกเดือน ไปกำหนดโครงสร้างต้นทุนราคาสลากใหม่ จากการรวมชุดเลข การลดราคาสลากที่เลขไม่สวย แต่ไปขึ้นราคาเลขดังที่เป็นที่นิยมหรือเลขสวย และกระจายสลากไปถึงผู้ค้ารายสุดท้ายในแต่ละงวด ปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่เฉลี่ย 92-93 บาทต่อคู่
กรณีเลขที่เป็นที่นิยมราคาพุ่งสูงขึ้นไปเฉลี่ย 100-110 บาทต่อคู่
ผลจากการขายสลากเกินราคา พบว่าสร้างรายได้ให้กับ กลุ่มนายทุนเฉลี่ย 9 พัน-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปี
เพราะปัญหาและเงื่อนไขหลายอย่างนี่เองทำให้เมื่อ คสช.ต้องการกำหนดราคาสลากที่ 80 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา จึงไม่มีสัญญาณตอบรับเท่าที่ควรจากกองสลาก
ส่วนหนึ่งเพราะหนังหน้าไฟอย่าง "ผู้อำนวย การสลากฯ" ยังไม่มีการตั้งใครไปแทน "พล.ต.ต. อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร" ที่ยื่นใบลาออกไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันมีคณะกรรมการ สลากฯ พาเหรดตบเท้าลาออกขานรับนโยบายการล้างไพ่ รัฐวิสาหกิจของคสช.
ส่งผลให้คณะกรรมการสลากที่เหลือ รวมถึง นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ประธานกรรมการสลากฯ (ในขณะนั้น) ไม่ได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหานี้ โดยอ้างว่าคณะกรรมการไม่ครบองค์ประชุม ต้องสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่ก่อน
อย่างไรก็ตาม ได้มีการเสนอแนวทางเบื้องต้น คือ
1.การใช้วิธีการจำหน่ายแบบออนไลน์ ทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกตัวเลขที่ต้องการได้ และไม่จำเป็นต้องซื้อผ่านตัวแทนอย่างที่ผ่านมา เป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
2.การปรับวิธีพิมพ์เลขสลากใหม่เพื่อไม่ให้เกิดการรวมชุด เก็งกำไร และ 3.การรื้อหวยบนดิน (หวยเขียน) มาขายอีกครั้ง
ช่วงกำลังชุลมุนนี้เองทำให้ คสช.ตัดสินใจเลื่อนการกำหนดราคาสลากที่ 80 บาทออกไปเป็นต้นเดือนก.ค.นี้ ทำให้สลากในช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่จะออกผลรางวัลวันที่ 1 ก.ค. ยังขายราคาเกินกว่า 80 บาทอยู่ดี
ขณะเดียวกันยังไม่มีความชัดเจนว่าจะนำเสนอแนวทางแก้ไขต่อ คสช.อย่างเป็นรูปธรรมได้เมื่อใด
เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีผู้ที่เกี่ยวข้อง ก๊วนการเมือง และนายทุนเข้ามาแทรกแซงกันยุบยับ การรื้อโครงสร้างโควตาใหม่จึงเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครเข้ามาคุมนโยบายก็ต้องลังเล
เท่าที่ทำได้คือการตั้งทีมไล่ล่า พร้อมประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เร่งลงพื้นที่พร้อมจับปรับ 2,000 บาทกรณีพบว่ามีผู้แทน รายย่อย หรือแผงเร่ ไปขายสลากเกินราคาที่กำหนดไว้ 80 บาท พร้อมทั้งยึดโควตาคืน
ส่งผลให้เกิดการตื่นตระหนกกันทั่วประเทศ ผู้ค้าแห่ เลิกขายสลากในงวด 16 ก.ค.กันเป็นจำนวนมาก ร้อนถึง คสช.ต้องออกมาประกาศผ่อนปรนการจับกุม ตรวจสอบในช่วงนี้ออกไปก่อนจนกว่าจะมีนโยบายที่ชัดเจน
ล่าสุดเมื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งประธานกรรมการสลากฯ คนใหม่ เป็น นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร ก็มีแนวทางที่จะรื้อ "โควตา" ที่เป็นต้นตอให้สลากขายกันเกินราคา
โดยมีแนวคิดว่าปัจจุบันมีโควตาสลากส่วนหนึ่งที่ครบกำหนดซึ่งมีจำนวนมาก เป็นไปได้ที่จะชะลอการต่อสัญญาออกไป ส่วนนโยบายเป็นอย่างไรนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา
ขณะเดียวกันก็ยืนยันไม่ได้ว่า ราคาสลากจะขายไม่เกิน 80 บาทได้เมื่อใด
รายงานข่าวจากผู้ค้าส่งสลากกินแบ่งรัฐบาลมีความเห็นว่า นโยบายแก้ปัญหาสลากเกินราคา ที่ต้องการราคาขายปลีกที่ใบละ 80 บาท ร้านค้าไม่สามารถขายได้ เนื่องจากราคาที่รับมาก่อนหน้านี้มีราคากว่า 88 บาทแล้ว
"หาก คสช.จะเข้ามาควบคุมราคาคงทำได้ยาก เพราะ เรื่องนี้เป็นปัญหาสะสมมาเป็นเวลานาน เนื่องจากปัจจุบันราคาสลากที่ปรับสูงขึ้นส่วนใหญ่มาจากการบวกเพิ่มกำไรกลาย เป็นทอดๆ"
แต่หาก คสช.จะให้ขายในราคาคู่ละ 80 บาทนั้นต้องแก้ที่ต้นทาง คือยกเลิกโควตาที่มีอยู่ทั้ง หมด และให้ประชาชนทั่วไปที่ต้องการขายสลากเข้าไปรับจากสำนักงานสลากฯ โดยตรง
หรือให้กองสลากฯ ลดราคาต้นทุนลงมาอีก
แต่หากยังมุ่งไปที่ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นปลายทาง คงไม่สามารถทำได้ เพราะต้นทุนที่รับสลากมาก็เกินราคาควบคุมแล้ว
ปัญหาสลากขายเกินราคาจึงเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของคสช. ว่าจะใช้อำนาจเด็ดขาดในมือทุบโต๊ะสะสางปัญหาในกองสลาก และโควตาของกลุ่ม "5 เสือ" ได้อย่างถึงลูกถึงคนหรือไม่
เพราะผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นอกจากมีจำนวนมากแล้ว ที่สำคัญกลุ่ม 5 เสือยังมี "กำลังภายใน" ไม่ธรรมดา
ไม่เช่นนั้นคงไม่ยืนหยัดมาได้หลายสิบปี โดยไม่มีรัฐบาลไหนแหยมเข้าไปแก้ไขปัญหาได้เลย