- Details
- Category: บทความทั่วไป
- Published: Thursday, 03 September 2015 09:34
- Hits: 5326
'เอสซีจี' เติบโต-ก้าวหน้าขึ้นแท่นผู้นำในกัมพูชา
ไทยโพสต์ : การขยายลงทุนของภาคธุรกิจมีแนวโน้มมุ่งไปยังประเทศเพื่อนบ้านกันอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ 'เอสซีจี' ถือเป็นอีกหนึ่งองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยที่ไม่หยุดยั้งในการเติบโต และเป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการที่ได้ลงทุนในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน โดยเมื่อปี 2549 เอสซีจีได้จัดตั้ง บริษัท กัมปอตซิเมนต์ จำกัด นับเป็นโรงงานปูนซีเมนต์แห่งแรกของเครือซิเมนต์ไทยในต่างประเทศ
สำหรับ บริษัท กัมปอตซิเมนต์ จำกัด ผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์และปูนซีเมนต์สำหรับก่อฉาบเท ภายใต้ตราสินค้า "K Cement" มีพนักงานเอสซีจีในกัมพูชา (International Staff) จำนวน 31 คน และ SCG Staff จำนวน 461 คน โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมให้พนักงานเอสซีจีในกัมพูชาอย่างจริงจัง ทั้งการฝึกอบรมทักษะด้านภาษาอังกฤษ และภาษาท้องถิ่น รวมถึงพัฒนาให้มีจิตสำนึกเรื่องการทำงานในต่างประเทศ และความสามารถในการถ่ายทอดเพื่อช่วยพัฒนาพนักงานท้องถิ่นได้ด้วย เพื่อสร้าง SCG Staff ที่เป็นคนกัมพูชาให้มีความพร้อมและสามารถขึ้นเป็นผู้บริหารในประเทศนั้นๆ ได้
ก่อนที่จะมีการสร้างโรงงานปูนซิเมนต์อย่างเป็นทางการ เอสซีจีได้เข้ามาศึกษาตลาดอยู่บ้างแล้ว เมื่อมองเห็นโอกาสของธุรกิจในกัมพูชาจึงไม่รอช้าที่จะเข้ามาลงทุน จนทุกวันนี้สามารถเป็นผู้นำตลาดในผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ พื้นสำเร็จรูป และหลังคาคอนกรีต
จากแนวโน้มของความต้องการปูนซีเมนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น เอสซีจีจึงตัดสินใจขยายไลน์การผลิตสายที่ 2 ขึ้น ส่งผลให้กำลังการผลิตโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านตัน และคาดการณ์ว่าในระยะ 5 ปีจากนี้ อาจจะเพิ่มไลน์การผลิตสายที่ 3 อีกด้วย
'อารีย์ ชวลิตชีวินกุล'ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ธุรกิจรีจินอล เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน คงต้องมองหาตลาดที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยกัมพูชาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เอสซีจีจะให้ความสำคัญ และตั้งใจจะขยายกำลังการผลิตในส่วนอื่นอีก หากดีมานด์ในตลาดมีมากพอ
ปัจจุบัน ยอดขายในกัมพูชาอยู่ที่ราว 1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการส่งจากประเทศไทยราว 7,000 ล้านบาท และการผลิตภายในกัมพูชาอีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินธุรกิจค่อนข้างเติบโตในระดับเป็นที่น่าพอใจ หรือเติบโตในอัตรา 5-10%
"ในตอนนี้กัมพูชามีความต้องการปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง หรือราว 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่จากโครงการก่อสร้างเพื่อการพาณิชย์และที่อยู่อาศัยที่เติบโตสูงขึ้น จากการขยายตัวของลูกค้ากลุ่มที่มีระดับรายได้ปานกลาง ซึ่งมีความต้องการสร้างบ้านสูงขึ้น รวมถึงการสนับสนุนของภาครัฐในด้านการลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค โดยปูนซีเมนต์ของเอสซีจีเป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูง จึงมีความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน"
ใช่ว่าการเป็นผู้นำของเอสซีจีจะไม่มีคู่แข่งเข้ามาท้าชิง โดยเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มมีผู้ประกอบการ นักลงทุนจากประเทศจีนเข้ามาขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะด้านราคาที่เข้ามาเล่นในตลาดต่ำกว่าเอสซีจีราว 10% จากการประเมินว่าในปี 2558 นี้ ตลาดปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะเติบโตได้ราว 10% แต่เอสซีจียอมรับว่าคงจะโตไม่ถึงในระดับนั้น
การแก้เกมของผู้นำตลาดอย่างเอสซีจี คงหนีไม่พ้นดำรงในสิ่งเดิมที่ดีอยู่แล้วเป็นทุนในการดำเนินธุรกิจต่อไป เพราะท้ายสุดผู้บริโภคจะสามารถเข้าใจในผลิตภัณฑ์และแบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ในตลาดได้เองว่าผู้ประกอบการรายใดผลิตสินค้าได้มีคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอสซีจีจะยึดหลักนี้ควบคู่ไปกับการแตกเซ็กเมนต์ของผลิต ภัณฑ์ในการตอบสนองได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น
หากถามถึงการรับรู้สินค้าแบรนด์ไทยของผู้บริโภคในกัมพูชา คงอยู่ในระดับดีเยี่ยมอย่างแน่นอน เพราะการผลิตสินค้าบางแบรนด์อาจมาจากประเทศอื่น แต่ยังต้องมาปรับบรรจุภัณฑ์ให้เป็นภาษาไทย แสดงให้เห็นว่าการรับรู้แบรนด์ไทยในประเทศแห่งนี้ดีมาก โดยสินค้าที่นำเข้ามาจากไทยส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุก่อสร้าง น้ำมันเชื้อเพลิง และเครื่องดื่ม
ความต่อเนื่องทางการเมืองของกัมพูชา บวกกับปัจจัยด้านการขยายตัวของที่พักอาศัย และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะโรงแรม ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาย่อมจะเติบโตได้ตามการคาดหมายอยู่ที่ 7% ไปอีกหลายปีอย่างแน่นอน
นักลงทุนชาวไทยถือเป็นอันดับ 9 ที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา มีผู้ประกอบการจากมาเลเซียเข้ามาลงทุนเป็นอันดับ 1 ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าจากไทยครึ่งปีแรกยังเติบโตได้ถึง 20% เหล่านี้ล้วนแต่จะผลักดันให้นักลงทุนชาวไทยอย่าง 'เอสซีจี'ไม่ใช่แค่เพียงเป็นผู้นำภายในประเทศอย่างเดียว แต่จะเติบโตในฐานะผู้นำในกัมพูชาอีกยาวนานด้วยเช่นกัน.
รายงานพิเศษ: