- Details
- Category: บทความทั่วไป
- Published: Wednesday, 12 August 2015 08:08
- Hits: 3747
ความเหมาะสมในการใช้ภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ
ไทยโพสต์ : สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
1.บทนำ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญได้เพิ่มเติมบทบัญญัติในหมวด 'วินัยการคลัง' โดยห้ามการออกกฎหมายจัดเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เว้นแต่เพื่อจัดสรรให้องค์กรบริหารท้องถิ่นหรือพรรคการเมือง ทั้งนี้ หากมีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวอยู่แล้ว ให้ยกเลิกภายใน 3 ปี
บทบัญญัติดังกล่าวของร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ตั้งขึ้นแล้วในปัจจุบัน 3 แห่ง คือ สสส. ไทยพีบีเอส และกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ซึ่งทั้งหมดมีรายได้จากภาษีสรรพสามิตเหล้าและบุหรี่ โดย 3 หน่วยงานมีรายได้รวมกันต่ำกว่าร้อยละ 0.5 ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด จึงไม่น่าจะสามารถสร้างความเสี่ยงต่อ 'วินัยทางการคลัง'ของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ จนต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ยกเลิกใน 3 ปี และน้อยกว่า'งบกลาง'มหาศาล ซึ่งอยู่ภายใต้ดุลพินิจของรัฐบาลและเสี่ยงต่อการเสียวินัยทางการคลังมากกว่า
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงภาษีเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และรวมถึง 'ค่าธรรมเนียมเฉพาะ' ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์มีผลเสมือนเป็นภาษีเฉพาะอย่างหนึ่งด้วยแล้ว ก็จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นอีก เช่น กสทช. ตลอดจนหน่วยงานที่ได้รับเงินจากกองทุนจาก กสทช. เช่น กองทุนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ วงเงินที่เกี่ยวข้องก็จะเพิ่มขึ้นอีกมากจนอาจมีนัยสำคัญต่อวินัยทางการคลังได้
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเหมาะสมของภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งจะขอเรียกรวมกันสั้นๆ ว่า 'ภาษีเฉพาะ' (earmarked tax) โดยจะพิจารณาข้อดีและข้อเสียของภาษีดังกล่าว ตลอดจนเสนอแนะแนวทางในการใช้ภาษีดังกล่าวให้เกิดประโยชน์ และไม่สร้างความเสียหายต่อวินัยการคลัง โดยใช้ประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งเคยมีส่วนร่วมในการยกร่างกฎหมายที่มีการจัดเก็บภาษีเฉพาะ 2 ฉบับคือ กฎหมายจัดตั้งไทยพีบีเอสและกฎหมาย กสทช.
2.ความเหมาะสมของภาษีเฉพาะ
หากออกแบบอย่างเหมาะสม ภาษีเฉพาะจะมีข้อดีหลายประการ เช่น ทำให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้เงินสาธารณะ เนื่องจากประชาชนจะทราบต้นทุนของการมีหน่วยงานที่ใช้ภาษีดังกล่าว เช่น ทราบว่าไทยพีบีเอสมีรายได้จากภาษีดังกล่าวปีละ 2 พันล้านบาท ในขณะที่ไม่ทราบว่าหน่วยงานอื่นของรัฐมีงบประมาณเท่าใด ภาษีเฉพาะยังสร้างหลักประกันแก่หน่วยงานที่ต้องมีความเป็นอิสระให้ได้รับทรัพยากรที่เพียงพอโดยไม่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง เช่น หลายประเทศใช้ภาษีเฉพาะที่เรียกว่า 'ค่าธรรมเนียม' (license fee) ในการอุดหนุน 'สื่อสาธารณะ' ที่ต้องปลอดจากการแทรกแซงของรัฐและกลุ่มผลประโยชน์ ในขณะที่หลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์ เกาหลีใต้ โปรตุเกส จัดเก็บภาษีเฉพาะให้แก่หน่วยงานด้านสุขภาพ ซึ่งต้องรณรงค์ต่อสู้กับกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
ร่างรัฐธรรมนูญยังคงอนุญาตให้ใช้ภาษีเฉพาะกับองค์กรบริหารท้องถิ่นหรือพรรคการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการที่ต้องการให้องค์กรทั้งสองกลุ่มมีความเป็นอิสระ โดยองค์กรบริหารท้องถิ่นควรเป็นอิสระอย่างเพียงพอ โดยไม่ถูกรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยครอบงำ ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็ควรได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างเป็นธรรมโดยไม่ถูกรัฐบาลกีดกัน
อย่างไรก็ตาม ภาษีเฉพาะมีข้อเสียคือ ทำให้การใช้เงินของรัฐขาดความยืดหยุ่น เพราะไม่สามารถใช้ข้ามหน่วยงานได้ และการใช้เงินดังกล่าวไม่ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาในแต่ละปี นอกจากการพิจารณาวัตถุประสงค์การใช้เงินโดยรวมเมื่อครั้งออกกฎหมาย
การมีภาษีเฉพาะจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การใช้ภาษีดังกล่าวจึงควรทำอย่างระมัดระวังโดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้ หนึ่ง ไม่ใช้ในวงกว้างจนกลายเป็นหลักการทั่วไป แต่ควรใช้เฉพาะกับองค์กรที่จำเป็นต้องมีความเป็นอิสระ สอง ควรกำหนดวัตถุประสงค์การใช้ที่ชัดเจนและเพดานรายได้ซึ่งไม่มากเกินไป และสาม ต้องมีกลไกในการตรวจสอบและประเมินผลการใช้เงินในภายหลัง (post audit) ที่รัดกุม
เมื่อพิจารณาจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่าในด้านความจำเป็นต้องมีความเป็นอิสระขององค์กรนั้น สสส. ไทยพีบีเอส และ กสทช. สอดคล้องกับเกณฑ์ดังกล่าวเพราะล้วนเป็นหน่วยงานที่จำเป็นต้องมีความเป็นอิสระจากการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ทั้งสิ้น แต่กองทุนเศรษฐกิจดิจิทัลและกองทุนพัฒนากีฬา เป็นกองทุนที่อยู่ภายใต้หน่วยราชการ คือ กระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งการเมืองสามารถแทรกแซงได้โดยง่าย จึงอาจเกิดปัญหาในการใช้เงินกองทุนดังกล่าวอย่างโปร่งใส
ในด้านของรายได้ มีเพียงไทยพีบีเอสและกองทุนเศรษฐกิจดิจิทัลเท่านั้นที่มีเพดานกำกับไว้ แต่เพดานรายได้ของกองทุนเศรษฐกิจดิจิทัลสูงถึง 5 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่มีวัตถุประสงค์การใช้กว้างมาก ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหา ส่วนกองทุนอื่นๆ ที่เหลือไม่มีเพดานของรายได้กำกับไว้ อย่างไรก็ตาม เพดานรายได้ของไทยพีบีเอสจะเป็นปัญหาในอนาคตเพราะถูกกำหนดไว้ตายตัว ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบของเงินเฟ้อ
ในด้านของการตรวจสอบ หน่วยงานต่างๆ ที่ใช้ภาษีเฉพาะทั้งหลายต่างถูกตรวจสอบการใช้เงินว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดย สตง.เท่าที่ผู้เขียนทราบ ยังไม่เคยพบว่า สสส.และไทยพีบีเอสถูกตรวจสอบว่ามีการทุจริต ส่วน กสทช.เคยเป็นข่าวใหญ่จากการที่ถูก สตง.ตั้งข้อสังเกตเรื่องความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการใช้เงิน
นอกจากนี้ สสส. ไทยพีบีเอส และ กสทช.ต่างมีกลไกการประเมินผลที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนในกฎหมาย ในขณะที่กองทุนพัฒนากีฬาและกองทุนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลปัจจุบัน ไม่มีกลไกในการประเมินผลของกองทุนในกฎหมายเลย
3.สรุปและข้อเสนอแนะ
จากที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนเห็นว่ามีความเหมาะสมที่รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้มีบทบัญญัติในการควบคุมการออกกฎหมายภาษีเฉพาะ เพื่อกำหนดกรอบในการตั้งกองทุนต่างๆ เพื่อรักษาวินัยการคลังในอนาคต อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติในปัจจุบันของร่างรัฐธรรมนูญยังมีปัญหามาก เพราะไปยกเลิกกองทุนที่จำเป็นต้องมีความเป็นอิสระ และห้ามจัดเก็บภาษีเฉพาะโดยเด็ดขาด ซึ่งทำให้ประเทศขาดโอกาสในการใช้เครื่องมือทางการคลังที่สำคัญไป ในขณะเดียวกันร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความรัดกุมพอ เพราะไม่ครอบคลุมถึงกองทุนที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขดังนี้
1.ให้กองทุนที่จำเป็นต้องมีความเป็นอิสระ คือ สสส.และไทยพีบีเอสคงอยู่ได้ต่อไป และจำกัดการใช้ภาษีเฉพาะให้ทำได้เฉพาะกรณีที่กองทุนจำเป็นต้องมีความเป็นอิสระ ปลอดจากการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและกลุ่มทุนเท่านั้น โดยห้ามใช้กับหน่วยงานราชการโดยปกติ
2.เพิ่มข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษีเฉพาะ รวมถึง 'ค่าธรรมเนียมเฉพาะ' ด้วย เพราะมีผลในลักษณะเดียวกัน
3.กำหนดให้การจัดตั้งกองทุนที่มีรายได้จากภาษีเฉพาะใน อนาคต ต้องใช้เสียงเกินกว่าเสียงข้างมากตามปกติ (supermajority) เช่น 3 ใน 5 ของสมาชิกรัฐสภา เพื่อสร้างหลักประกันว่า จะทำได้เฉพาะในกรณีที่สังคมเห็นถึงความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
4.จำกัดขอบเขตวัตถุประสงค์ในการใช้เงินกองทุนให้ชัดเจน และจำกัดเพดานรายได้ไม่ให้สูงเกินไป แต่ปรับได้โดยอัตโนมัติตามอัตราเงินเฟ้อ
5.วางกลไกการตรวจสอบ และประเมินผลกองทุนต่างๆ ด้วยมาตรฐานที่สูง โดยอย่างน้อยไม่ต่ำกว่ากฎหมายของ สสส. หรือไทยพีบีเอส ซึ่งกำหนดให้มีการประเมินโดยอิสระและรายงานต่อรัฐสภาทุกปี.