ประเทศ
|
GDP
(ล้านล้าน$)
|
จำนวนแรงงาน
(ล้านคน)
|
รายได้ ($/ปี)
|
เกษตร
|
อุตสาหกรรม
|
บริการ
|
World
|
81
|
3,305
|
3,954
|
33,184
|
37,615
|
USA
|
15
|
155
|
169,438
|
92,996
|
99,588
|
Netherlands
|
1
|
8
|
124,775
|
119,328
|
81,549
|
Germany
|
3
|
44
|
35,227
|
80,479
|
67,877
|
Japan
|
5
|
65
|
21,378
|
72,924
|
71,070
|
China
|
11
|
795
|
4,191
|
22,174
|
18,040
|
Thailand
|
0.6
|
40
|
3,443
|
43,853
|
16,625
|
ASEAN
|
3
|
308
|
3,546
|
24,889
|
12,519
|
ที่มา: CIA World Factbook, 2011
เมื่อประสิทธิภาพการผลิตในภาคเกษตร ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร ทำให้มีคำถามตามมาว่า
อาหารจะมีเพียงพอสำหรับทุกคน ในอนาคต หรือไม่?
อาหารมีความปลอดภัยเพียงพอ หรือไม่?
อาหารมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ หรือไม่?
จะสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ได้อย่างไร?
เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน พบว่ามีด้วยกันทั้งหมด 4 เรื่อง ประกอบด้วย
1.เทคโนโลยี (Technology) ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ต้นทุนลดลง ทำงานเร็วขึ้น งานมีคุณภาพมากขึ้น เป็นต้น ขอยกตัวอย่าง การใช้เทคโนโลยีในโรงเรือนเลี้ยงไก่ระบบปิดแบบ EVAP ที่ทำให้เพิ่มปริมาณการผลิต ผลิตได้มากขึ้น ตัวอย่างของเกษตรกรในระบบContract Farming ของ CPF น่าสนใจ จากเดิมที่ 1 ฟาร์ม ใช้เกษตรกร 1คน เลี้ยงไก่ได้เพียง 5,000 ตัวเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบัน ใช้เกษตรกร 1 คน เท่ากัน แต่เลี้ยงไก่ได้ถึง 100,000-200,000 ตัว/ฟาร์ม การดำเนินการดังกล่าวทำได้ เพราะทางผู้เชี่ยวชาญของCPF ได้คิดค้นเทคโนโลยี ที่ทำให้การบริหารจัดการฟาร์มทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพัฒนาองค์ความรู้นั้น ให้เป็นรูปแบบการจัดการแบบง่ายๆ หรือที่เรียกว่า Farm Management Model หลังจากนั้น จึงถ่ายทอด Model ดังกล่าวให้แก่เกษตรกร
การถ่ายทอดแบบนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เกษตรกรสามารถปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังนับว่า เป็นแนวทางการพัฒนาการทำงานร่วมกัน ระหว่างบริษัทและเกษตรกร เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สังคม ก่อให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพทางการเกษตรให้กับเศรษฐกิจของประเทศ โดยที่สำคัญนับเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะให้กับกลุ่มเกษตรกร บุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญผู้ผลิตอาหารให้แก่คนทั้งประเทศ
2.การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management: SCM) ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ เมื่อนำมาประสานกันกับเทคโนโลยี จะช่วยให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร ช่วยในการควบคุมต้นทุน ทั้งทางการผลิต,การขนส่ง, ทั้งวงจรของการบริหารจัดการ จนถึงมือลูกค้าผู้บริโภค ที่สำคัญในการบริหารจัดการดังกล่าว ก่อให้เกิดสินค้าที่มีคุณภาพปลอดภัยมากขึ้น สามารถตรวจสอบย้อนกลับ-ย้อนหน้า-ย้อนหลัง-ได้ง่ายขึ้น เช่น ไก่ชิ้นนี้แปรรูปที่ไหน ผลิตที่ไหน ใช้อาหารอะไรในการเลี้ยง ไก่ชิ้นนี้จะนำไปขายที่ใด และขายอย่างไร เป็นต้น ที่สำคัญแนวทางการใช้องค์ความรู้ในกระบวนการบริหารจัดการดังกล่าว ก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึง ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยให้สังคมประหยัดทรัพยากรทางการผลิตให้แก่โลก แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ และโลก ได้เพิ่มมากขึ้นด้วย (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของการลดโลกร้อนได้ในที่สุด
3.นวัตกรรม (Innovation) ผู้บริโภคในปัจจุบัน มีความต้องการที่แปลกใหม่และเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ดังนั้น นวัตกรรมจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น นวัตกรรมการจัดการ จะช่วยให้ประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของสินค้ามากขึ้น ธุรกิจมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงและสภาพการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เช่น ในการผลิตเนื้อไก่เพื่อบริโภค ของเสียที่เกิดขึ้นสามารถนำมาผลิต Bio-diesel ได้ จึงช่วยลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
หรือนวัตกรรมของตัวสินค้า จะช่วยสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า นับเป็นการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า 3 องค์ประกอบข้างต้น จะก่อให้เกิด 'องค์ความรู้' (Knowledge) และการพัฒนาแก่ภาคการเกษตร ก่อเกิดความมั่นคงทางอาหารเพิ่มขึ้น แต่การพัฒนาดังกล่าว จะไม่มีความยั่งยืน หากองค์กร ไม่มีบุคลากรที่มีศักยภาพ พร้อมที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะ ถึงแม้มี 'องค์ความรู้' แต่ขาด 'คนเก่ง' ขับเคลื่อน จะทำให้ธุรกิจไม่สามารถนำเอา 'องค์ความรู้' ที่มีอยู่มาใช้'ในการแก้ปัญหา การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตลอดจนสร้างแนวความคิดใหม่ๆที่จะทำให้ธุรกิจภาคการเกษตรเติบโต ตลอดจนการพัฒนาในด้านต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ตาม บุคลากรเหล่านั้น ต้องเป็น คนดี ด้วย เพราะการทำงานใดๆ ที่จะสำเร็จได้อย่างยั่งยืน บุคลากรจากหน่วยงานต่างของทุกห่วงโซ่ ต่างควรเอื้อาทร มีน้ำใจของการทำงานเป็นทีมร่วมกัน เพื่อให้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการเติบโต แต่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนได้ด้วย นั่นหมายถึง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Development) เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน อันเป็นแนวทางสู่ “ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน” นั่นเอง
ท้ายที่สุด ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน จะทำให้ความมั่นคงทางอาหารเป็นจริงมากยิ่งขึ้น เมื่อทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่มีความปลอดภัย และมีโภชนาการที่เพียงพอแล้ว ย่อมทำให้สังคมอยู่อย่างยั่งยืน อย่างมีความสุขร่วมกัน
โดย....ดร.พรศรี เหล่ารุจิสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สำนักที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)