กดไลน์-แชร์ให้เพื่อนๆด้วยครับ
ถึงเวลายุติความเชื่อผิดๆ ของสัตว์ปีกไทย
โดย ศ.นสพ.ดร.จิโรจ ศศิปรียจันทร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อุตสาหกรรมสัตว์ปีกของประเทศไทย มีพัฒนาการและเติบโตมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อุตสาหกรรมไก่เนื้อ ที่ สามารถส่งออกเป็นอันดับ 4 ของโลก การที่ประเทศใหญ่ๆ หลายๆประเทศในโลกไว้วางใจ และมี การนำเข้าไก่จากไทย นั่ นหมายความว่า คุณภาพของเนื้อไก่จากบ้านเรา มีความปลอดภัยและมี มาตรฐานในระดับโลก
ไทยเรามีพัฒนาการความรู้ด้ านระบบฟาร์มมาตรฐานอย่างต่อเนื่ อง มีการพัฒนาสุขศาสตร์ การบร ิหารจัดการฟาร์ม การป้องกันโรค แต่ละมาตรฐานมีหน่วยงานของรั ฐกำกับดูแล ซึ่งล้วนเป็นการช่วยลดความสู ญเสียของเกษตรกรทั้งสิ้น ขณะเด ียวกัน ประชาชนชาวไทยก็จะได้อาหารโปรตี นคุณภาพไว้บริโภค เพราะมาตรฐานไก่ส่งออกหรือบริ โภคในประเทศต่างก็ใช้ กระบวนการผลิตในมาตรฐานเดียวกัน
เกษตรกรในระบบอุตสาหกรรม จะได้รับความรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นระบบประกันคุณภาพอย่ างหนึ่ง โดยมีตลาดเป็นตัวบังคับ ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องดู แลให้มันเป็นไปตามระบบ ให้มี การผลิตไก่ที่มีสุขภาพดี คุณภาพดี สูญเสียน้อย นั่นหมายถึง ต้องให้ความรู้แก่ เจ้าหน้าที่ทุกระดับตั้งแต่ คนเลี้ยง สัตวบาล สัตวแพทย์ และฟาร์มมาตรฐานทุกฟาร์มจะต้ องมี สัตวแพทย์ เป็นผู้ดูแล ด้านสุขภาพและควบคุ มการให้ยา ข้อมูลต่างๆของไก่แต่ละรุ่นจะมี การบันทึกอย่างเป็ นระบบและสามารถตรวจสอบย้อนกลั บได้
ด้วยความที่ประเทศไทยใช้ระบบฟาร์ มมาตรฐานมาตั้งแต่ก่อนปี 2547 ซึ่งเป็นปีที่มีไข้หวั ดนกครั้งแรกในประเทศไทย ทำให้ประเทศเราไม่ได้เสียหายยั บเยิน ในตอนนั้นแม้จะมี โรคระบาดในประเทศ แต่ไทยก็ยังขายไก่ปรุงสุกได้ แ ละการที่เรากลับมายืนหยัดเป็นผู ้ส่งออกอันดับ 4 ของโลกได้อีกครั้งในวันนี้ ก็เป็นผลพวงมาจากมาตรฐานการเลี้ ยงที่ดีนั่นเอง
ทั้งๆ ที่ไก่ไทยได้รับการยอมรั บอย่างกว้างขวาง แต่ผู้เขียนซึ่งคลุกคลีอยู่ ในวงการสัตว์ปีกมานานกว่า 30 ปี กลับได้ยินความเชื่อผิดๆเกี่ ยวกับอุตสาหกรรมนี้หลายประเด็น หลายๆเรื่องเป็นแต่เพียงการกล่ าวลอยๆ หรือบอกต่อๆกันมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ บิดเบือนความรู้ความเข้าใจที่ถู กต้องแก่คนรุ่นหลังหรือเยาวชน ที่กำลังเติบโตไปเป็ นอนาคตของชาติเสียเปล่าๆ
ยกตัวอย่างเรื่องมาตรฐานการเลี้ ยงไก่ ซึ่งต้องวัดกันที่อัตราความเสี ยหายที่ลดลงมาก เช่น ในอดีตเราเลี้ยงไก่หลังบ้าน 20 ตัว ตายไป 2 ตัว นี่ถือว่าเสียหายถึง 10 % ขณะที่ปัจจุบันเลี้ยงไก่นั บแสนนับล้านตัว จะมีอัตราเสียหายในเกณฑ์ปกติ 2-3% เท่านั้น นั่นหมายความไก่ในปัจจุบันมีสุ ขภาพแข็งแรง และเจริญเติบโตได้รวดเร็ว อันเนื่องมาจากพันธุกรรมที่ดี ควบคู่กับการเลี้ยงดูและการจั ดการที่ดี
พอเห็นว่า ไก่แข็งแรงและเจริญเติ บโตรวดเร็ว ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาอี กว่า ระบบอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในบ้ านเราพึ่งพาสารเคมีสูง ประเด็นนี้ก็มีตรรกะการคิดง่ ายๆเลยว่า การใส่อะไรเข้าไปในขั้ นตอนการผลิต มันคือ “ต้นทุน” ใส่สารเคมีเข้าไปแล้วส่งขายไม่ ได้ ประเทศคู่ค้าปฏิเสธการซื้อ แล้วจะใส่ไปเพื่ออะไร หรือถ้ าเนื้อไก่มีพิษภัย หน่วยงานรัฐของไทย ทั้งสาธารณสุข ทั้งกรมปศุสัตว์ ก็ต้องออกมาจัดการทันที
คำว่า 'สารเคมี'ในที่นี้คงครอบคลุมถึงฮอร์ โมนเร่งโตและยาปฏิชีวนะ นำไปสู่ข้อกล่าวหาที่ว่า ไก่เป็นสาเหตุเด็กโตเร็ วและทำให้เกิดการดื้อยา ซึ่งจากตรรกะข้างต้น ผนวกกับประสบการณ์ ผู้เขียนกล้ายืนยันว่า 'ไม่ใช่! !'...
มันเป็นความเชื่อแต่ครั้งโบราณ เพราะในอดีต ยุโรปและอเมริกาสามารถใช้ฮอร์ โมนเร่งให้ไก่อ้วนตัวโตได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ต่อมาก็มี การประกาศห้ามใช้เมื่อกว่าครึ่ งศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว ที่สำคัญ วิธีการใช้ฮอร์โมนนั้น ต้องจับไก่ทีละตัวไปฝังฮอร์โมน ถ้าเลี้ยงน้อยๆสัก 2 หมื่นตัว กี่วันจึงจะแล้วเสร็จ? วันนี้ ประเทศเราผลิตไก่ราวๆสัปดาห์ละ 30 ล้านตัว มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ เลยที่จะนำไก่ทีละตัวมาฝังฮอร์ โมน อีกประการหนึ่งคือ นอกจากจะผิดกฎหมาย เสี่ยงถูกดำเนินคดีแล้ว ฮอร์ โมนที่ต้องลักลอบใช้เช่นนี้ย่ อมมีราคาแพง ทำให้ต้นทุนสูง จึงไม่มีผู้ ประกอบการใดเขาทำกัน เพราะมันไม่คุ้มค่าเลย
' ความเชื่อในประเด็นนี้จึงควรยุ ติได้แล้ว ทั้งเรื่องสารเคมี ฮอร์โมนเร่งโต หรือ ยาปฏิชีวนะ'