พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ ได้เชิญผู้นำจากธุรกิจภาคเอกชนได้แก่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ เครือสหพัฒน์ และกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เข้าพบเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2557 ณ ห้องรับรองภายในห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการพิจารณาวางยุทธศาสตร์และจัดทำแผนงานพัฒนาส่งเสริมการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีความสอดคล้องอย่างครบวงจร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ในด้านของเครือเจริญโภคภัณฑ์มี นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นานยอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร (สายธุรกิจข้าวและอาหาร) กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และนายภัคพล งามลักษณ์ ประธานคณะผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เป็นตัวแทนเข้าพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ส่วนกลุ่มบริษัทไทยเบฟฯนั้นนำโดยนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน) เครือสหพัฒน์ นำโดย นางศิรินา ปวโรฬารวิทยา และกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล นำโดย นายทศ จิราธิวัฒน์
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังหารือร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน ว่า ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์การกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาลทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นการวางรากฐานให้กับประเทศในอนาคตให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้รับทราบ พร้อมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนในการรักษาระดับราคาสินค้าให้เหมาะสม ไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ภาคเอกชนเห็นด้วยกับนโยบายและพร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาครัฐ โดยเฉพาะการดูแลสินค้าเกษตร ที่มองว่ารัฐบาลดำเนินการมาถูกทางและไม่ควรเข้าไปแทรกแซงราคา จนทำให้กลไกตลาดบิดเบือน ซึ่งราคาจำหน่ายข้าวเปลือกในหลายพื้นที่ ขณะนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้น เฉลี่ย 8,000 - 9,000 บาทต่อตัน
ส่วนการดูแลราคาสินค้าเกษตร ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ได้วางนโยบาย โดยมุ้งเน้นคุณภาพของสินค้ามากกว่าการมุ่งเน้นปริมาณ เพื่อเตรียมความพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงการผลักดันการค้าชายแดนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพราะเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาการส่งออกที่ชะลอตัวได้ รวมถึงสั่งการให้หน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าให้มีความทันสมัยให้แล้วเสร็จ ภายใน 1 เดือน เพื่อให้ทันเสนอคณะรัฐมนตรี
|