- Details
- Category: บทความทั่วไป
- Published: Monday, 22 September 2014 22:40
- Hits: 4276
เกาะติดเศรษฐกิจ : กินเจครั้งประวัติศาสตร์ : ครั้งหนึ่งในรอบ 182 ปี
ไทยโพสต์ : ธนวรรธน์ ผลวิชัย
'ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ'เป็นกระแส การดำเนินชีวิตของคนไทยทั้งวัยรุ่น วัยทำงานและผู้สูงอายุที่ผมสังเกตได้ และพบคุยกับบุคคลเหล่านั้นด้วยตนเองหลายครั้งหลายครา จนสรุปได้จากประสบการณ์ของตนเองว่า ในระยะหลัง คนไทยสนใจเริ่มทำบุญและปฏิบัติธรรมในสัดส่วนที่มากขึ้นกว่าช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา
เนื่องจากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจหอการค้าโพล พบว่าคนไทยสนใจทำบุญมากขึ้น โดยเฉพาะเทศกาลที่สำคัญๆ เช่น วันปีใหม่ วันสงกรานต์ หรือวันสำคัญทางศาสนา อาทิ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาและวันออกพรรษา รวมทั้งเทศกาลกินเจที่กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า
อาจเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่ประเทศไทยต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายเรื่อง จนทำให้ภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจกวัดแกว่ง ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยใส่ใจและสนใจทำบุญกุศลมากขึ้นเพื่อให้ตนเองพ้นภัยและพบสิ่งที่ดีๆ อย่างสม่ำ เสมอก็เป็นได้
หลังจากปีที่แล้วที่เป็นปีพุทธชยันตีที่ครบรอบในวันวิสาขบูชา 2,600 ปี กระแสการทำบุญมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ การสำรวจของหอการค้าโพล พบว่า การทำบุญในเทศกาลต่างๆ ยังคึกคักด้วยความตั้งใจของคนไทยสวนกระแสเศรษฐกิจที่ซึมๆ มาโดยตลอด
โดยเฉพาะเทศกาลกินเจในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปีพิเศษที่เกิดขึ้น 1 ครั้งในรอบ 182 ปี เนื่องจากตามปฏิทินจีน ปีนี้มีเดือน 9 ถึง 2 หน ทำให้มีเทศกาลกินเจถึง 2 รอบในปีนี้ คือ รอบแรกระหว่างวันที่ 24 ก.ย.-2 ต.ค.57 และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 24 ต.ค.-1 พ.ย. 57 แน่นอนครับ ปีประวัติศาสตร์เช่นนี้ ทำให้แฟนพันธุ์แท้ของเทศกาลกินเจและคนที่ตั้งใจทำบุญอย่างแท้จริง จึงไม่พลาดในการปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการกินเจทุกมื้อทั้ง 2 รอบ
ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจในปี 57 ของหอการค้าโพล กล่าวว่า ยอดการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจในปี 57 ทั้ง 2 รอบมีมูลค่าการใช้จ่ายรวม 51,270.16 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.7% เนื่องจากในปีนี้เป็นการกินเจ 2 รอบ ประกอบกับราคาอาหารและผักที่ใช้ในการกินเจเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติ 5-10% ส่งผลให้มีมูลค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ภายใต้การใช้จ่ายที่ยังระมัดระวังตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
แม้ปีนี้จะมีมูลค่าการใช้จ่ายที่สูง แต่หากพิจารณาในภาพรวมเทศกาลกินเจในปีนี้ถือว่ายังไม่คึกคัก เพราะหากเปรียบเทียบเฉพาะรอบแรกระหว่างวันที่ 24 ก.ย.-2 ต.ค.57 มีมูลค่าการใช้จ่ายเพียง 41,012.34 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 2.1% และเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 7 ปีเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเวลานี้ยังซบเซา ทำให้ประชาชนค่อนข้างระวังการจับจ่ายใช้สอยในการซื้อสินค้า ขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายรอบ 2 ระหว่างวันที่ 24 ต.ค.-1 พ.ย.57 มีมูลค่า 10,257.82 ล้านบาท
ทั้งนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดูแลในช่วงเทศกาล กินเจมากที่สุดคือ ให้ดูแลราคาอาหารปรุงสำเร็จเจ ผัก ผลไม้ รวมทั้งโปรตีนเกษตรไม่ให้แพงเกินจริง, งดขายของมึนเมาในช่วงเทศกาลกินเจ, ความสะอาดในการปรุงอาหาร, ดูแลและสอดส่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในช่วงดังกล่าว
สำหรับ พฤติกรรมการบริโภคอาหารเจ พบว่า ส่วนใหญ่แล้วประชาชนจะมีการซื้ออาหารสำเร็จรูปตามร้านค้าทั่วไป รองลงมาเป็นการซื้อมาทำกินเองและไปบริโภคที่โรงเจ โดยปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการเลือกซื้ออาหารเจ คือ ให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดเป็นลำดับแรก รองลงมาเป็นเรื่องของราคา รสชาติ ความสะดวกในการซื้อหาและชื่อเสียงของสินค้าเจนั้นๆ
ทั้งนี้ ธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากเทศกาลกินเจมากที่สุดคือธุรกิจอาหาร และวัตถุดิบในการประกอบอาหารเจ คาดว่าจะมีเงินสะพัดเฉพาะในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและผู้ประกอบการอาหารประมาณ 42,000-45,000 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินที่ลงสู่ระบบจากเทศกาลกินเจทั้งหมดในปีนี้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้คึกคักได้เป็นอย่างดี และเมื่อรวมกับมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลเชื่อว่าในไตรมาสที่ 4 ปีนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในระดับ 4-5% และทั้งปีน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ในระดับ 2% ค่อนข้างแน่นอน
เทศกาลกินเจตามความเชื่อและตามตำนานเชื่อว่าเป็นการถวายเป็นพุทธบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของชาวพุทธที่ต้องการลดการเบียดเบียนและปฏิบัติตามศีลตามธรรมอย่างเคร่งครัดในปีหนึ่งๆ ผมคิดว่าธรรมะของ พระพุทธเจ้าที่มอบให้กับพวกเราชาวโลกโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ไว้แล้วถึง 2,600 ปี ถ้าเรานำมาปฏิบัติโดยนำหลักธรรมแท้ๆ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า (พุทธวจนะ) มาใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน เราคงจะมีความสุขมากขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจและธุรกิจหรือการดำเนินชีวิต ถ้าเราใช้หลักเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และยืดหลักการดำเนินชีวิตตามศีลและธรรม เราคงสามารถลดปัญหาความแตกแยกทางการเมืองให้คลี่คลายลงได้ในที่สุด เพราะการให้อภัยกันและเชื่อตามกฎแห่งกรรม จะทำให้เรามีความรักสามัคคีและทำสิ่งที่ถูกต้องต่อตนเองและสังคมอยู่เสมอ
การเกิดมาเป็นชาวพุทธชาติหนึ่ง โชคดีมากๆ ครับที่ได้เรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ประกาศให้คนทั่วไปรู้ว่า ถ้าอยากหมดทุกข์โดยสิ้นเชิงสามารถใช้หลักธรรมหรือมรรคในองค์แปดดำเนินตนให้พ้นทุกข์ได้ โดยผลของการปฏิบัติจะเห็นผลได้ด้วยตนเอง และพิสูจน์ได้ด้วยตนเองเหมือนวิทยาศาสตร์ ถ้าพวกเราปฏิบัติได้ถูกต้องตามพุทธวจนะ ทุกข์ของพวกเราคนไทยคงลดลงอย่างเห็นได้ชัดทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองครับ.