การจะขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการเป็นครัวโลก พลังคนจะเป็นพลังหลักในการนำซีพีเอฟสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ นอกจากนั้น เงินทุนและเทคโนโลยี ก็เป็น 2 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้การได้รับโอกาสในการลงทุนและการตอบรับที่ดีจากรัฐบาลที่บริษัทจะเข้าไปลงทุนด้วย
เวลาไปลงทุนในต่างประเทศ อย่างแรก คือ ต้องมีตลาด และ เห็นโอกาส ปัจจัยที่สองคือ ถ้าจะไปลงทุนในประเทศไหนก็ตาม รัฐบาลของประเทศนั้นส่งเสริมการลงทุนหรือไม่ หรือว่ากีดกัน หากว่ากีดกันแล้วไปลงทุน ก็ไม่มีประโยชน์ สองอันนี้ถือเป็นปัจจัยหลัก
นอกจากนี้ก็ต้องดูเงื่อนไขของประเทศเขาเรื่องภาษีเป็นอย่างไร นโยบายรัฐบาลให้นำเข้าเนื้อสัตว์หรือไม่ หรือว่าให้นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่จำเป็นหรือไม่ หากว่าไปลงทุนแล้ววัตถุดิบไม่พอ แล้วนำเข้าไม่ได้ สินค้าก็ไม่ได้มาตรฐาน หรือเราลงทุนผลิตเนื้อสัตว์ในประเทศ แล้วรัฐบาลมีนโยบายให้นำเข้าเนื้อสัตว์ ก็จะกระทบธุรกิจที่เราลงทุน อย่างนี้ก็ต้องชะลอ เราต้องพิจารณาว่ากระทบกับธุรกิจที่เราลงทุนหรือไม่ ถ้าทั้งสองอย่างนี้ไม่กระทบ คือ เห็นโอกาส รัฐบาลให้การสนับสนุน จากนั้นเราต้องมากลับมาสำรวจปัจจับภายในของเรา 3 ประการ คือ เรามีเงินทุนพอหรือไม่ ปัจจัยที่สองคือ เรามีเทคโนโลยีที่จะผลิตสินค้า แล้วมีความโดดเด่น แตกต่างจากคู่แข่งเราหรือไม่ ท้ายสุดคือ เรามีกำลังบุคลากรที่จะเข้าไปบริหารหรือไม่
ปัจจุบันซีพีเอฟมีพนักงานทั้งหมดเกือบ 100,000 คน ทั้งในเมืองไทย และ 13 ประเทศ ที่ซีพีเอฟเข้าไปลงทุน โดยบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับ ด้วยเชื่อว่า พลังบุคลากรจะนำองค์กรสู่ความสำเร็จ หากเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทยึดนโยบายที่จะให้ผลตอบแทนเทียบเท่า หรือ สูงกว่า
“องค์กรที่จะประสบความสำเร็จต้องสามารถดึงคนดี และ คนเก่ง มาร่วมงาน เพราะงานจะสำเร็จได้ด้วยคน และผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล วางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง อยู่ในวัฒนธรรมอันเดียวกัน ซีพีเอฟเป็นองค์กรที่เชื่อมั่นในเรื่องคนและให้ความสำคัญต่อคน สิ่งที่บริษัทสำเร็จอีกอย่างคือ การเชื่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เชื่อที่จะต้องเปลี่ยนแปลงที่จะต้องสร้างสรรค์จากภายใน ซึ่งเราเรียกว่า นวัตกรรม ฉะนั้นอะไรที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา เราจะต้องเอามาใช้ตลอดเพื่อให้ทัน เมื่อเราทันต่อสถานการณ์ เราจะผลิตสินค้าที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง มีต้นทุนถูกกว่าคู่แข่ง ฉะนั้นเรื่องเทคโนโลยี, การวิจัยและพัฒนา รวมทั้ง นวัตกรรม เป็นกรอบสำคัญที่บริษัทได้ยึดมั่น”
นอกเหนือจากตลาดในประเทศไทยที่ซีพีเอฟแข็งแกร่งแล้ว บริษัทเล็งเห็นว่าตลาดต่างประเทศ ที่เป็นฐานการขับเคลื่อนหลักรองจากไทย คือ จีน เวียดนาม และอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ทั้งจำนวนประชากรที่มาก และฐานธุรกิจของบริษัทจัดอยู่ในอันดับค่อนข้างดี สำหรับธุรกิจอาหาร ถือเป็นฐานการที่มั่นคงในการสร้างการเติบโต เมื่อมีบริษัทมีฐานอยู่ 13 ประเทศ และส่งออกไปยัง 40 ประเทศทั่วโลก ขณะนี้สิ่งหนึ่งในแง่การส่งออกเริ่มมีสัญญาณข่าวดีก็คือ รัสเซีย ซึ่งซีพีเอฟเข้าไปลงทุนเลี้ยงหมู และทำอาหารสัตว์ เมื่อรัสเซียหยุดการนำเข้าจากอเมริกา ก็ทำให้ราคาเนื้อสัตว์ในรัสเซียดีขึ้น ซีพีเอฟก็ได้ประโยชน์ ประเด็นที่สอง พอรัสเซียต่อต้านการนำเข้าจากยุโรป และอเมริกา ไม่นำเข้าอาหาร รัสเซียเริ่มเบนมาทางเอเชีย เริ่มเข้ามาหาในเมืองไทย ในเมืองจีน อันนี้ก็จะเป็นผลบวกกับซีพีเอฟทางอ้อม
“ผลประกอบการซีพีเอฟครึ่งปีแรกนี้สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 13 % สำหรับกำไรประมาณ 5,600 ล้านบาท โตขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว 110 % สำหรับในครึ่งหลังของปี ผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ปีนี้ตัวเลขการเติบโตของเราจะอยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยโตกว่าปีที่ผ่านมา ในส่วนของยอดขายตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 15 %"
โดย นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ
|