- Details
- Category: บทความทั่วไป
- Published: Wednesday, 17 January 2018 12:11
- Hits: 3948
'เอ็นเนียแกรม'ทางลัด 'คนปรับองค์กรขยับ'รับโลกเปลี่ยน
'โลกหมุน' อาจเป็นความรู้ที่ประจักษ์กันดีอยู่แล้วแต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวทุกวันนี้ชวนให้คิดได้ว่าโลกไม่เพียงกำลังหมุนหากกำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอีกด้วยซึ่งส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในทุกด้าน
สิ่งสำคัญ ก็คือไม่ว่าเทคโนโลยีความคิดการสื่อสารหรือสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวหมุนโลกนี้สิ่งที่เราต้องเผชิญย่อมเป็นคำถามว่าเมื่อวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน เราจะทำอย่างไรกับโลกแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้
วาจาสิทธิ์ลอเสรีวานิช ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามเอ็นเนียแกรมคอนซัลติ้งจำกัดและวิทยากรอบรมเอ็นเนียแกรมเล่าให้ฟังว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเรื่องที่ยากมากแต่เป็นเรื่องจำเป็นและต้องเร่งดำเนินการทันทีโดยเฉพาะผู้บริหารและคนทำงานในองค์กรต่างๆเพื่อความอยู่รอดแต่ทุกองค์กรต้องแน่ใจว่าการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงนี้ต้อง 'ถูกทาง'เพราะการปรับเปลี่ยนที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เท่ากับเป็นความพยายามที่เสียเปล่า
“องค์กรทุกแห่งขับเคลื่อนได้ด้วยบุคลากรในองค์กรความพยายามเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ทันสถานการณ์จึงควรเริ่มต้นที่บุคลากรทุกคนไม่ว่าจะเป็นระดับใดและการเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการเริ่มทำความเข้าใจตัวเอง
“จากนั้นจึงขยายความเข้าใจไปถึงผู้อื่นแล้วขยายไปสู่การปรับทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นบุคลากรในองค์กรเดียวกันหรือนอกองค์กร”วาจาสิทธิ์กล่าว
วาจาสิทธิ์ ซึ่งศึกษาและทำงานด้าน'เอ็นเนียแกรม'มานานเกือบ 2 ทศวรรษมั่นใจว่า 'เอ็นเนียแกรม' เป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพที่จะช่วยให้คนเราเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างได้ง่ายขึ้นปัจจุบันทั่วโลกมีการนำเอ็นเนียแกรมมาใช้ในแวดวงต่างๆเช่นธุรกิจการศึกษาจิตบำบัดศิลปะบันเทิงการแพทย์การขายและกฎหมายเป็นต้น
สำหรับ ประเทศไทยมีองค์กรธุรกิจจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆใช้เอ็นเนียแกรมในการฝึกอบรมและปรับเปลี่ยนองค์กรเพราะความรู้เรื่อง 'เอ็นเนียแกรม' ทำให้เข้าใจที่มาของพฤติกรรมบุคคลที่แสดงออกในด้านต่างๆเช่นการสื่อสารการจัดการความขัดแย้งความเป็นผู้นำการทำงานเป็นทีมการวางแผนกลยุทธ์และการปรับปลี่ยนองค์กร
แม้ขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ต้นกำเนิดของ 'เอ็นเนียแกรม' อย่างแน่ชัดร่องรอยที่มีอยู่ก็บ่งบอกว่าเป็นภูมิปัญญาจากเอเชียและตะวันออกกลางเมื่อหลายพันปีก่อนแม้คำว่า ‘เอ็นเนียแกรม’จะมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือเอ็นเนีย (ennea) ที่แปลว่าเก้าและแกรม (gram) ซึ่งหมายถึงบางสิ่งที่ถูกเขียนหรือวาดขึ้นมา
'เอ็นเนียแกรม' หมายถึงรูปที่มีเก้าจุดบนวงกลมเป็นสัญลักษณ์แทนพฤติกรรมของปัจเจกซึ่งมีลักษณะเป็นแบบแผนที่แตกต่างกันอย่างมาก 9 แบบเช่นแบบที่ 1 เป็นผู้ที่มีความพยายามทำให้ดีเลิศเสมอแบบที่ 7 เป็นผู้ที่ต้องการกระตุ้นตัวเองให้มีชีวิตฃีวาเสมอและแบบที่ 9 เป็นผู้ที่คอยแสวงหาความกลมกลืนเสมอ
วาจาสิทธิ์เล่าว่าก่อนรู้จัก 'เอ็นเนียแกรม' เมื่อปีพ.ศ. 2541 เขารู้ตัวว่าเป็นคนมีบุคลิกแปลกแยกไม่ค่อยมีคนเข้าใจและแม้แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองแต่เมื่อรู้จัก ‘เอ็นเนียแกรม’เขาเข้าใจตัวเองและอยากเผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์นี้ให้แก่คนอื่นๆ จึงเริ่มอ่านและแปลหนังสือต่อเนื่องกระทั่งผันตัวเองมาเป็นวิทยากรทำงานอบรมเผยแพร่การนำ “เอ็นเนียแกรม” ไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพของบุคคลและทีมงานให้กับองค์กรและคณะบุคคลต่างๆในประเทศไทย
“บางคนอาจใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาตัวเองหรือเฝ้าแต่สงสัยพฤติกรรมต่างๆของเพื่อนร่วมงาน เอ็นเนียแกรมเป็นเหมือนสูตรทางลัดให้รู้จักว่าตัวเองเป็นใคร จัดอยู่ในคนกลุ่มใด เพื่อนร่วมงานเราเป็นคนแบบไหน พฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาจริงๆแล้วคือตัวตนของเขาหรือไม่ หรือเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่เรามองเห็นทั้งที่ จริงๆแล้วมีฐานรากของปัญหาซ่อนอยู่
“การเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างจะนำไปสู่การปรับตัวเข้าหากัน และนำไปสู่การรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงในโลกที่กำลังเกิดขึ้น”วาจาสิทธิ์ กล่าว
วิทยากร เอ็นเนียแกรม เล่าว่าความยากของการอบรมคือการที่บางคนคิดว่ารู้จักตัวเองดีแล้วจึงไม่ยอมเปิดรับความรู้ใหม่แต่จากประสบการณ์ของเขาที่จัดอบรมให้แก่หลายองค์กรขนาดใหญ่มีบุคลากรเข้าร่วมตั้งแต่ระดับผู้บริหารไปจนถึงระดับปฎิบัติการพบว่าหลายคนเข้าใจตัวเองผิดมาตลอดจนผ่านการอบรมจึงรู้ว่าพื้นฐานพฤติกรรมต่างๆของตนมาจากอะไรและสามารถแก้ไขพฤติกรรมด้านลบที่สาเหตุจริงๆได้ทันที
“ผลที่ตามมาคือองค์กรจะสามารถบริหารจัดการบุคลากรในองค์กรให้ทำงานได้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมายเพื่อประสิทธิผลอย่างแท้จริง”
วาจาสิทธิ์ มั่นใจว่า การรู้จักฐานรากของพฤติกรรมคนรอบข้างจะนำไปสู่การลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในองค์กรเช่นหัวหน้างานที่มีบุคลิกภาพแบบ 7 ดูภายนอกเหมือนสนุกสนานไม่จริงจังอาจทำให้ผู้ปฎิบัติงานบุคลิกภาพแบบอื่นรู้สึกไม่มั่นใจและไม่เชื่อถือแต่คนบุคลิกภาพแบบ 7 มีข้อดีคือมีความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นผู้ปฎิบัติงานก็สามารถปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของหัวหน้าและในทางกลับกันหัวหน้างานก็ต้องระมัดระวังไม่ให้จุดอ่อนกลายเป็นอุปสรรคการทำงานด้วย
เมื่อภายในองค์กรมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน คนทำงานรู้จุดแข็งจุดอ่อนของบุคลิกภาพกันและกันคนในองค์กรก็สามารถนำความสำเร็จนี้ไปต่อยอดในการทำงานร่วมกับคนนอกองค์กร
วาจาสิทธิ์กล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้'เอ็นเนียแกรม'กลายเป็นความจำเป็นในโลกปัจจุบันคือการมองสิ่งที่เกิดขึ้นจากฐานรากของเรื่องราวนั้นๆอย่างแท้จริงซึ่งก็คือพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นในโลกนี้
“การปรับตัวของคนและองค์กรที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกจะทำให้องค์กรนั้นๆยืนหยัดอยู่ได้และยังจะสามารถนำความเปลี่ยนแปลงต่างๆมาพลิกผันองค์กรให้กลายเป็นองค์กรชั้นนำได้ไม่ยาก” วาจาสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย