- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Monday, 25 January 2016 12:10
- Hits: 6820
เตือนปิดความเสี่ยง...ค่าเงินบาทปี 2559 โลดโผนรับปีลิง
สำนักวิจัย ธ ซีไอเอ็มบี ไทย มองค่าเงินแตะ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
แต่มีโอกาสเห็นค่าบาทเดินถึงทางแยก อ่อนแตะ 40 หรือแข็งถึง 30 ก็ได้!
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนกำลังตั้งคำถามถึงทิศทางค่าเงินบาทปี 2559 ว่า ‘จะโลดโผนเท่าปีที่แล้วหรือไม่’ สำนักวิจัยฯคาดการณ์ค่าเงินบาทปีนี้ไว้ที่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี มีโอกาสเช่นกันที่ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าแตะ 40 และก็มีโอกาสที่จะแข็งค่าที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ได้! โดยสรุปคือ ค่าเงินบาทปี 2559 จะโลดโผนกว่าปี 2558
“ผมอยากใช้โอกาสช่วงต้นปีฟันธงว่าค่าเงินบาทปีนี้จะผันผวนมากกว่าปีที่แล้ว เรียกว่าเป็นปีที่ยากก็ว่าได้ ปีที่ผ่านมา หลายต่อหลายสำนักวิจัยต่างมองเงินบาทอยู่ในทิศทางที่อ่อนค่าเช่นเดียวกันมาโดยตลอด จะต่างกันบ้างก็เพียงระดับของค่าเงินในช่วงปลายปี แต่สำหรับปีนี้แล้ว ผมขอย้ำว่า เงินบาทมีโอกาสทั้งอ่อนค่า และแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับว่ายากสำหรับผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน” นายอมรเทพ กล่าว
นายอมรเทพ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในสถานการณ์ปกติ ค่าเงินบาทปลายปีนี้มีโอกาสจะอยู่ที่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจัยต่างประเทศ คือ ปีนี้จะมีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ได้อีกหลังสหรัฐฯทยอยขึ้นดอกเบี้ย แม้การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะ ‘มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของจีน’ ที่คาดว่าจะส่งผลให้นักลงทุนเข้าถือดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
ปัจจัยในประเทศ ยังคงมีแรงกดดันให้บาทอ่อนค่า กล่าวคือเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังคงเผชิญปัญหาการเติบโตที่ช้า และหากการส่งออกยังคงหดตัว ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินด้วยการปล่อยให้ค่าเงินอ่อนค่า เพื่อช่วงชิงความสามารถในการแข่งขันในการส่งออก หรือ สงครามค่าเงิน ด้วยแล้ว มีโอกาสที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวไปตามทิศทางเดียวกับภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นการผ่อนคลายมาตรการทุนเคลื่อนย้ายต่อเนื่องจากที่ทำในปีก่อนมากกว่าการลดดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำลง (คาดว่าจะเฉลี่ยที่ 45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปีนี้ลดลงจากระดับราว 50 ในปีก่อน) มีผลให้ไทยซึ่งเป็นประเทศนำเข้าสุทธิน้ำมันยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากการนำเข้าที่ยังคงหดตัว ซึ่งสนับสนุนค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นผู้ส่งออกสุทธิน้ำมันและพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อันจะได้รับผลกระทบจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงทำให้เงินอ่อนค่า
อย่างไรก็ดี หากเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาด ค่าเงินบาทจะเดินมาถึงทางแยก จะอ่อนค่าแรง หรือจะวกกลับมาแข็งค่าได้ พูดให้น่าตกใจคือ บาทจะไป 40 หรือ 30 ก็ได้ทั้งคู่! ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวนให้ดีในปีนี้
สถานการณ์ที่บาทจะไป 40
ถ้าสงครามค่าเงินประทุ นำโดยจีนที่ลดค่าเงินหยวนแรง ขณะที่การส่งออกไทยยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จะยิ่งมีแรงกดดันให้ผู้ดำเนินนโยบายออกมาตรการให้บาทต้องอ่อนค่าเพื่อประคองเศรษฐกิจ นอกจากนี้หากราคาน้ำมันกลับมาขึ้นแรงจากความไม่สงบในตะวันออกกลางด้วยแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัดจะพลิกมาเป็นขาดดุล เงินสำรองระหว่างประเทศจะลดลง เกิดภาวะเงินไหลออกมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะยิ่งซ้ำเติมให้บาทอ่อนค่าแรงได้
สถานการณ์ที่บาทจะไป 30
หากราคาน้ำมันลดลงแรง กดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ และไม่ใช่แค่อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน แต่เป็นอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในอนาคต คนคาดว่าราคาสินค้าจะไม่เปลี่ยนแปลงอีกนานหรืออาจลดลงได้อีก จะส่งผลให้คนไม่อยากลงทุน เพราะผลิตสินค้ามาขายก็อาจขาดทุน ไม่คุ้มรายจ่ายดอกเบี้ยที่กู้จากธนาคาร
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเข้มแข็ง โตได้ราว 2.5% ในปีนี้ก็อาจพลาดเป้า และอาจส่งผลให้จำใจต้องลดดอกเบี้ยกลับมาจุดเดิม หรืออาจออกมาตรการ QE4 อีกทั้ง หลังวิกฤติการเงินโลกปี 2008 ไม่เคยมีธนาคารกลางของประเทศสำคัญใด ที่ขึ้นดอกเบี้ยสำเร็จ สุดท้ายทุกประเทศที่เคยขึ้นดอกเบี้ยไปก็กลับมาลดดอกเบี้ยเพราะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งหากสหรัฐฯ เดินซ้ำรอยธนาคารกลางอื่น ก็อาจเห็นเงินไหลเข้ามาตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง แล้วในภาวะราคาน้ำมันต่ำเช่นนั้น ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด เพราะไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาก มีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งใครๆ ก็อยากมาพักเงินไว้ในประเทศไทย ส่งผลให้บาทแข็งค่าได้
นายอมรเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอแนะนำให้ผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพราะปีนี้ไม่เหมือนปีก่อน อย่าชะล่าใจว่าบาทจะอ่อนค่าในทิศทางเดียว ควรติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด
เช็กความพร้อม! เศรษฐกิจไทยปี 59 จับตา ราคาทองพุ่ง-น้ำมันร่วง
การฉลองเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ยังไม่สร่างซา ทำให้บรรยากาศในช่วงนี้มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความสุข แต่หากดูในแง่ของการจับจ่ายใช้สอยแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงต้องระมัดระวังเพราะยังไม่มั่นใจเรื่องทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต เห็นได้จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในช่วงขาลง หรือแม้แต่เศรษฐกิจภายในประเทศช่วงปีที่ผ่านมา ที่ยังไม่ค่อยฟื้นตัวในอีกหลายด้าน
'ไทยรัฐออนไลน์'ได้รวบรวมบทวิเคราะห์จากเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ ขยายให้เห็นถึงภาพรวมของเรื่องที่น่าจับตามองในด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ รวมถึงเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ...
ปีที่ผ่านมา สถานการณ์น้ำมันค่อนข้างดิ่งลงอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากอุปทานล้นตลาด ซึ่งช่วงปลายเดือน พ.ย.58 นั้น ราคาน้ำมันเกิดร่วงลงอย่างรวดเร็ว เมื่อองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือโอเปก ซึ่งรับผิดชอบในการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดโลก ตัดสินใจไม่ปรับลดกำลังการผลิต แม้ว่าปริมาณน้ำมันจะล้นตลาดก็ตาม ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ไหลรูดลงแตะระดับต่ำสุดนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมส่งผลต่อราคาน้ำมันในไทยด้วย
จากสถานการณ์น้ำมันที่ดิ่งลงดังกล่าว นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน จึงได้ออกมาประเมินถึงสถานการณ์ว่า แม้ว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันอาจจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ในช่วงต้นปีนี้ น่าจะมีการปรับตัวลดลงได้อีก จากปัจจัยเรื่องปริมาณน้ำมันที่ล้นตลาด
สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ดิ่งลงอย่างรุนแรง จากอุปทานล้นตลาด..
แม้ว่า ราคาน้ำมันดิบจะเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลง แต่เราในฐานะผู้ใช้รถใช้ถนน ก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าจะมีแนวโน้มที่ดี หรือยังคงทรงตัว เพื่อที่เราจะสามารถประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันที่จะเกิดขึ้นได้ในภายภาคหน้า
นอกจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับลดลงแล้ว ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ร้านทองคำในประเทศก็คึกคักกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งเป็นผลมาจาก ราคาทองคำในประเทศปรับลดลงถูกสุดในรอบปีอย่างน่าตกใจ และเป็นที่น่าดีใจแก่ผู้ซื้อในเวลาเดียวกัน (ส่องปัจจัยราคาทองก่อนสิ้น ธ.ค. ขาช็อปรู้ไว้ถูกสุดๆ หลังปีใหม่ (มีแวว) ขยับขึ้น!) ประชาชนคนธรรมดา ต่างแห่เข้าร้านทอง เพื่อเลือกซื้อเป็นของขวัญปีใหม่ที่ผ่านมา แม้แต่เหล่านักลงทุน ที่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง ว่าราคาทองเพื่อประเมินแนวโน้มแล้วนำมาปรับในการซื้อขาย โกยกำไรนั่นเอง
คาด ราคาทองคำในประเทศต่ำสุดในปีนี้ อยู่ที่ 17,500 บ.
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาทองคำปี 2559 คาดว่า ราคาทองคำไม่น่าจะลดต่ำกว่าระดับ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และตลาดทองคำยังคงอยู่ในช่วงขาลง ราคาน่าจะอยู่ประมาณที่ 1,050-1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนราคาทองคำในประเทศต่ำสุดสำหรับปีหน้าจะอยู่ที่ 17,500 บาท และสูงสุดราคาขาย ไม่น่าเกิน 20,500 บาท
แบบสำรวจเป้าหมายราคาทองคำในปี 2559 ** ภาพจาก สมาคมค้าทองคำ
ขณะที่ นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ และผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด กล่าวในทิศทางเดียวกันด้วยว่า กรอบราคาทองตั้งแต่ปลายปี 2558 ที่ผ่านมา จนถึงต้นปีนี้กรอบล่างอยู่ที่ประมาณ 1,030-1,120 ส่วนกรอบบนจะอยู่ที่ประมาณ 17,500-17,800 และอาจจะขึ้นไปใกล้ๆ ระดับ 18,800-19,000
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศในปี 2558 ที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่า คงยังไม่ใช่ปีทองของเศรษฐกิจสักเท่าไรนัก อันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบนั่นเอง แต่เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมไม่น้อยว่า รัฐบาลไทยก็ไม่ได้นิ่งเฉย ขยันออกมาตรการมากระตุ้นต่อเนื่อง อย่างล่าสุดกับมาตรการลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้า-บริการ (รู้ไว้ไม่พลาด! ไขข้อข้องใจ เที่ยว-ช็อป สิ้นปี ลดหย่อนภาษี 3 หมื่นบาท) ที่บรรดาขาช็อปทั้งหลายได้เฮส่งท้ายปีมาแล้ว
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้มองว่า เศรษฐกิจไทย ในปี 2559 มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ทั้งจากภาคการบริโภคและภาคการลงทุนที่จะกระเตื้องขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากการลงทุนโครงสร้างภาครัฐ กระแสการไหลเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษหากไม่มีปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง หรือแม้แต่การลงทุนภาคเอกชน ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา แต่เป็นไปในลักษณะค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ มีเพียงบางอุตสาหกรรมเท่านั้นที่อยู่ในระดับสูงและอาจมีการลงทุนใหม่ในระยะต่อไป
ด้านการลงทุน SMEs น่าจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดภาษีนิติบุคคล แต่ความท้าทายของการลงทุนภาคเอกชนในปี 59 นี้ เป็นเรื่องความผันผวนทางการเงิน เงินบาทอ่อน ต้นทุนทางการเงินที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคตและปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง รวมทั้งความต่อเนื่องและความคงเส้นคงวาของนโยบายภาครัฐ
ต้องติดตามทั้งภาคการบริโภค การลงทุน หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรม ...
ภาพรวมการท่องเที่ยวและการส่งออก มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของตลาดอาเซียนและสหรัฐอเมริกา โดย คาดว่า เศรษฐกิจอาเซียน 5 ประเทศหลัก จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ย 5% และตลาดอาเซียนคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 4 หรือ 25% ของมูลค่าส่งออกของไทย
แม้ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในไทยจะไม่ค่อยสดใส แต่ทุกคนก็ยังคงมีความหวังอยู่เสมอว่าจะได้เห็นสถานการณ์ภาพรวมดีขึ้นตามลำดับ ทั้งจากปัจจัยต่างๆ หรือนโยบายจากทางรัฐบาล ที่จะมากระตุ้นให้ประชาชนมีแรงซื้อ-จับจ่ายใช้สอย เพื่อส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความคึกคักยิ่งขึ้น.
ที่มา : www.thairath.co.th