- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Tuesday, 29 September 2015 11:54
- Hits: 3842
TDRI เผย จีดีพีไทยปีนี้โตไม่ถึง 3% แต่มีลุ้นโตถึง 2.7% ตามที่ธปท.ประเมิน
TDRI มองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้ไม่เกิน 3% แม้มีมาตรการกระตุ้นภาครัฐ ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาปีนี้ ปีหน้า เฟดขึ้นดอกเบี้ย- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างศก.จีน ทำตลาดเงิน ตลาดทุนผันผวน
นางกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI เปิดเผยในการเสวนา ตลาดการเงินไทย เดินหน้าเศรษฐกิจไทย ว่า ในปีนี้คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของไทยจะโตได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. ประเมินไว้ที่ 2.7% แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยแต่เชื่อว่จะไม่ผลักดันให้จีดีพีไทยในปีนี้โตได้มากกว่า 3%
“มาตรการภาครัฐ ถือว่าช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้มาก เช่น กองทุนหมู่บ้าน แต่น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในปีหน้ามากกว่าปีนี้ ดังนั้นจึงมองว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ 2.7-3%”นางกีริฎา กล่าว
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่ไทยจะต้องจับตามองทั้งปีนี้ และปี 2559 คือ ความผันผวนในตลาดทุน และตลาดการเงิน โดยมีสาเหตุจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ที่จะส่งผลให้เงินไหลกลับเข้าสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะต้องติตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความผันผวนในตลาดการเงิน และตลาดทุน แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ตลาดได้คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก ดังนั้น เชื่อว่าคงไม่มีอะไรเซอร์ไพส์
“เราต้องตระหนักว่าจะมีเงินไหลออกบ้าง ส่วนดอกเบี้ยไทยจะต้องปรับขึ้นตามไหม เราคงไม่ได้ดูดอกเบี้ยสหรัฐอย่างเดียว ต้องมองภาพรวมของเศรษฐกิจโลกว่าจะฟื้นอย่างไร ทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น ยูโร น่าเป็นห่วงหมด นอกจากนี้ยังพบว่า โครงสร้างการผลิตของโลกเปลี่ยนไป เมื่อหลายปีก่อนหากเศรษฐกิจโลกโต 1% การค้าโลกจะโต 3% แต่หลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์โครงสร้างการผลิตเปลี่ยนไป เศรษฐกิจโลกโต 1% ปริมาณการค้าโลกโตได้เพียง 2% เท่านั้น เราพบว่าหลายประเทศมีการปรับโครงสร้าง พยายามลดการนำเข้าลง และพยายามหาชิ้นส่วนจากประเทศใกล้ๆ และเริ่มตั้งกำแพงการค้า เพื่อปกป้องตัวเอง ทำให้การค้าในโลกไม่ได้ฟื้นตัวเร็ว”นางกิริฎา กล่าว
ขณะเดียวกัน ต้องจับตา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ที่รัฐบาลจีนมีความตั้งใจที่พยายามลดสัดส่วนการลงทุน และเพิ่มการบริโภคมากขึ้น โดยมีมาตรการต่างๆออกมา โดยให้ธนาคารให้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับบการบริโภค ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยค่อนข้างมาก
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
TDRI แนะจับตาตลาดทุน-ตลาดเงินผันผวนจากผลกระทบเฟดขึ้นดอกเบี้ย ฝากเอกชนยันมีความพร้อมลงทุน
นางกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในงานเสวนา "ตลาดการเงินไทย เดินหน้าเศรษฐกิจไทย"ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตได้ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินไว้ที่ 2.7% แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยแต่เชื่อว่าจะไม่ผลักดันให้จีดีพีไทยในปีนี้โตได้มากกว่า 3%
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่ไทยจะต้องจับตามองทั้งปีนี้ และปี 59 คือ ความผันผวนในตลาดทุน และตลาดการเงิน โดยมีสาเหตุจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะส่งผลให้เงินไหลกลับเข้าสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะต้องติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความผันผวนในตลาดการเงิน และตลาดทุน แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ตลาดได้คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมากแล้วและเชื่อว่าคงไม่มีอะไรเซอร์ไพส์ ขณะเดียวกัน ต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนที่รัฐบาลจีนมีความตั้งใจที่พยายามลดสัดส่วนการลงทุน และเพิ่มการบริโภคมากขึ้น โดยมีมาตรการต่างๆออกมา โดยให้ธนาคารให้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการบริโภค ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยค่อนข้างมาก
ด้านนายยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า ธปท.ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือ 2.7% จากเดิมที่คาด 3% เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศ และต่างประเทศยังมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.7% จากเดิมที่ 4.1% โดยมีแรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐและเอกชน
สำหรับ การส่งออกในปีนี้ ธปท.คาดว่า ส่งออกจะติดลบ 5% และมองไทยจะพึ่งพาการส่งออก หรือจะพึ่งพาการบริโภคในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่ได้ โดยไทยจะต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และพยายามหากลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เพื่อความอยู่รอดและพัฒนาขีดความสามารถให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายทางการเงินของ ธปท.มองว่าในภาวะที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ การดำเนินนโยบายการเงินจึงต้องอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง และในระดับอัตราดอกเบี้ยที่ 1.5% ก็ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ที่จะช่วยเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและส่งออก อีกทั้ง ธปท.ยังมีการดูแลในเรื่องค่าเงินให้มีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในระยะสั้นนี้ และเชื่อว่ายังมีเครื่องมือที่เพียงพอถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อค่าเงินเกิดขึ้นในอนาคต
ด้านการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้อย่างแน่นอนนั้น มองว่าไทยน่าจะได้รับผลกระทบบ้างในแง่ของค่าเงินผัวผวน และเงินทุนไหลออก แต่ไม่มากนัก จากที่ผ่านมานักลงทุนได้รับรู้ข่าวสารมาพอสมควรแล้ว ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของแผนการปฎิรูปประเทศ ที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างชัดเจนมากกว่า ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็มีการเร่งดำเนินการอยู่ หากสำเร็จจะส่งผลทำให้ Fund Flowไหลกลับเข้ามาในประเทศมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าไทยยังมีจุดดึงดูดเม็ดเงินลงทุนอยู่อีกมาก
ส่วนมาตรการภาครัฐ ในเรื่องของการดูแลกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย และ SMEs นายยรรยง กล่าวว่า เป็นมาตรการที่ดีมาก ซึ่งเป็นการช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยจะเห็นจากที่ผ่านมาเกษตรกรได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ, การส่งออกติดลบ และผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อลดลง มาตรการดังกล่าวจะช่วยประคับประคองให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถมีเงินเข้าไปหมุนเวียนได้บ้าง แต่ประเด็นที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องทำ คือ การลงทุนภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชน ถ้าเกิดขึ้นจริงจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นายสมประสงค์ บุณยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อินทัช โฮลดิ้ง(INTUCH)กล่าวว่า การลงทุนภาคเอกชนที่ผ่านมาชะงักไป เนื่องจากภาครัฐที่ชะลอการลงทุนออกไป โดยจะเห็นได้จากการประมูล 4G ที่ก่อนหน้านี้มีคำสั่งให้ชะลอ แต่ในทางกลับกันภาคเอกชนถือว่ามีความพร้อมการลงทุน ซึ่งได้มีการเตรียมเงินที่จะประมูล การลงทุนโครงข่าย รวมไปถึงบุคคลากร โดยหากมีการประมูลเกิดขึ้นจะก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของเงินทุนหมุนเวียนเข้าสู่ในระบบมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และอื่นๆ อีกทั้งยังส่งผลถึงภาษีเงินได้ของบริษัท, บุคคล
ขณะที่ภาพรวมของภาคเอกชนในภาพใหญ่ที่จะก่อให้เกิดการลงทุน น่าจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ และแหล่งเงินทุน ซึ่งในปีนี้ถือว่าผู้ที่ดำเนินธุรกิจมีความเสี่ยง และมีความกังวลอย่างมากในการลงทุน จากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกติดลบ
อินโฟเควสท์