- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Sunday, 26 July 2015 11:35
- Hits: 4264
คนรุ่นใหม่นิยมเล่นหุ้น-ตั้งบริษัทลุยธุรกิจเอง สร้างเศรษฐีหน้าใหม่ในเมืองไทยและเอเชีย
แนวหน้า : PwC คาดอีก 5-10 ปี มหาเศรษฐีพันล้านในเอเชียจะแซงหน้าอเมริกาและยุโรป หลังเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลกมาอยู่ฝั่งตะวันออก ขณะที่มหาเศรษฐีเกิดใหม่ของไทยมีแนวโน้มเพิ่ม หลังเจนวายและ Startup เมินเป็นมนุษย์เงินเดือน หันมาเล่นหุ้นตั้งบริษัทลุยธุรกิจทำเงินเองมากขึ้น
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส) เปิดเผยว่า ในอีก 5-10 ปี จำนวนมหาเศรษฐีในเอเชียจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลกมาเป็น “บูรพาภิวัฒน์”ถือเป็นหนึ่งในกระแส “เมกะเทรนด์” ที่จะทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ขณะที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเงินที่เริ่มย้ายฐานมาทวีปนี้ ประกอบกับจำนวนชนชั้นกลางที่มากขึ้น อำนาจในการใช้จ่ายของผู้คนในภูมิภาคก็มากขึ้นทำให้นักธุรกิจฝั่งเอเชียเริ่มหันมาตั้งต้นธุรกิจและสร้างฐานะความมั่งคั่งด้วยตนเอง จากการทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค-บริโภค และรองลงมาคือเทคโนโลยีและไอที
สอดคล้องกับผลสำรวจ Billionaires : Master architects ofgreat wealth and lasting legacies ประจำปี 2558 ซึ่งจัดทำโดย UBS AG และ PwC ซึ่งพบว่าสัดส่วนของมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตนเอง (Self-made billionaires) ในเอเชียเพิ่มสูงขึ้นโดยเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนของมหาเศรษฐีที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองสูงถึง 36% ของเศรษฐีพันล้านทั่วโลกนอกจากนี้ มหาเศรษฐีในภูมิภาคนี้ถึง 25% ยังเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจนเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐที่ 8% และยุโรปเพียง 6% ขณะที่อายุเฉลี่ยของเศรษฐีระดับพันล้านชาวเอเชียก็น้อยกว่ามหาเศรษฐีจากสองทวีปถึง 10 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 57 ปี
“เราเห็นเทรนด์ของคนหนุ่ม-สาวที่กลายมาเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่กันตั้งแต่อายุยังน้อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเอเชีย เด็กสมัยนี้หันมาเริ่มต้นทำธุรกิจหรือลงทุนกันตั้งแต่จบทำงานใหม่ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย”
ประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือเศรษฐีใหม่ในจีน โดยไตรมาสแรกของปี 2558 มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นในจีนแทบทุกสัปดาห์ ส่วนหนึ่งเพราะประชากรจีนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มหลังจากที่รัฐบาลจีนปฏิรูปตลาดทุนส่งผลให้ชาวจีนหันมาเล่นหุ้นเพิ่มแค่ 5 เดือนแรก ของปีนี้ มีบัญชีหุ้นเปิดใหม่ทะลุ 30 ล้านบัญชี แต่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่กลับเป็นนักเรียนมัธยมที่ยังขาดความเข้าใจในการลงทุน กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนประสบกับภาวะฟองสบู่
สำหรับ ประเทศไทย เศรษฐีหน้าใหม่มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากเช่นกัน หลังจากที่เด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจนวาย (Gen Y) หันมาลงทุนสร้างความมั่งคั่ง (Wealthgeneration) ผ่านตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น กระแสที่ต้องการ“รวยด้วยตัวเอง” หรือ “รวยทางลัด” โดยไม่ต้องทำงานออฟฟิศ ประกอบกับความนิยมในตัวนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย ตลาดหุ้นไทย จึงกลายเป็นแหล่งที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแสวงหาความมั่งคั่ง อย่างไรก็ตามมองว่าสิ่งที่ต้องปลูกฝังควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคั่งคือ ความรู้ทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่งคั่ง การบริหารจัดการความเสี่ยงจากการลงทุน และการเติบโตของตลาดทุนไทยที่ยั่งยืน
“นอกจากลงทุนในหุ้นแล้ว เทรนด์ของการตั้งธุรกิจใหม่ หรือสตาร์ทอัพในบ้านเรามีให้เห็นกันมากขึ้น เด็กยุคใหม่โดยเฉพาะเจนวายอยากจะมีกิจการเป็นของตนเอง อยากจะสร้างความสำเร็จด้วยมันสมองและฝีมือของตน บางรายเรียนจบแล้วก็หุ้นกับเพื่อนฝูงตั้งบริษัท บางรายก็อาจจะเริ่มทำงานเป็นพนักงานบริษัทก่อนสักสองถึงสามปี แล้วนำประสบการณ์มาดัดแปลงสร้างธุรกิจของตน ทำให้คนไทยรุ่นใหม่ๆ มั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย” นายศิระกล่าว
“สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ควบคู่ไปกับการสร้าง Wealth คือการวางแผนการลงทุน และรู้จักบริหารความเสี่ยงต้องเข้าใจประโยชน์ที่แท้จริงของการออม และมองที่ผลตอบแทนในระยะยาว” นายศิระ กล่าว
คุณลักษณะ 3 ประการที่มหาเศรษฐีรุ่นใหม่มีคล้ายคลึงกันประกอบด้วย 1.บริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด มักมองความเสี่ยงเป็นเรื่องท้าทายพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของความเป็นจริง นอกจากนี้ยังสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้อย่างรวดเร็ว
2.มีโฟกัสในการทำธุรกิจอย่างแรงกล้า แสวงหาโอกาสทางธุรกิจหรือช่องทางในการทำกำไรใหม่ๆ อยู่เป็นประจำ
3.มีความมุ่งมั่น มองวิกฤติคือโอกาส เศรษฐีที่ก่อร่างสร้างตัวเองมาด้วยตนเองไม่จมปลักอยู่กับความล้มเหลวหรือผลขาดทุน แต่มองความผิดพลาดเป็นบทเรียน เรียนรู้จะปรับตัว ปรับรูปแบบทางธุรกิจให้มีความยืดหยุ่น ไม่รีรอที่จะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสและไม่กลัวต่อการสูญเสียหรือพ่ายแพ้
“นอกเหนือนี้มหาเศรษฐียุคใหม่ยังให้ความสำคัญกับการตอบแทนสู่สังคมมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยชี้ให้เห็นว่าคนรวยไม่ได้มองแค่การตักตวงผลประโยชน์ แต่ยังมีจิตสาธารณะต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมด้วย”นายศิระกล่าว