- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Friday, 10 July 2015 09:19
- Hits: 4286
หม่อมอุ๋ย เกาะติดบาทอ่อนจากรีซ-จีน เชื่อธปท.ดูแลสมดุลได้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยถึงกรณีค่าเงินบาทวานนี้อ่อนค่าไปแตะ 34 บาท/ดอลลาร์ เป็นไปได้ทั้งจากผลกระทบจากสถานการณ์กรีซและกรณีตลาดหุ้นจีนที่ร่วงแรง ต้องดูกันต่อไป แต่ได้มีการหารือกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะมีผลกระทบน้อย
กรณีของกรีซ ไม่มีผลกระทบต่อไทย เนื่องจาก ช่องทางการค้าระหว่างไทยกับกรีซมีเพียง 0.6% ไม่ถึง 1% ดังนั้นจึงไม่มีผลเท่าไหร่ ขณะที่สถาบันการเงินของไทยไม่มีการปล่อยสินเชื่อหรือมีซื้อพันธบัตรของยูโรค่อนข้างน้อย
"บาทเราก็คงจะอ่อนเมื่อเทียบกับเยน ดอลลาร์ แต่คงจะแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร คืออยู่ตรงกลาง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างที่ท่านผู้ว่าฯธปท.ได้คาดไว้ และผมก็ให้ท่านดูแลไปให้ดี ให้เคลื่อนไปอย่างมีเสถียรภาพ ไม่วูบวาบ เมื่อวานเงินบาทก็อ่อนลงอย่างมีเสถียรภาพ ก็คงเป็นแนวนี้สักพักนึงจนระดับใหม่ ซึ่งพอดีๆ ซึ่งจะช่วยส่งออกและไม่กระเทือนนำเข้านัก"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนเป็นห่วง คือ การเคลื่อนย้ายของเงินจากตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรเพื่อมาซื้อดอลลาร์ แต่หลังจากคุยกับนักลงทุนหุ้นแล้วเชื่อว่าไม่มาก ตลาดหุ้นเราเราไม่ได้สูญเงินไป แต่ที่ห่วงคือ การเคลื่อนย้ายจากตลาดพันธบัตร เพราะต่างชาติถือพันธบัตรของไทยอยู่
"ก็ถามผู้ว่าฯ ธปท.ว่าต่างชาติถือพันธบัตรเราอยู่เท่าไหร่ ท่านก็บอกว่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ผมก็ถามว่าเรามีเงินสำรองเท่าไหร่กรณีหากขอถอนแลกดอลลาร์เอาออกไป ท่านก็บอกมี 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็สบายใจ"
ส่วนกรณีของจีน มีผลทำให้ค่าเงินจีนลง ธปท.ก็ต้องดูตรงนี้ด้วย ต้องตามดูให้สมดุลด้วย ถ้าหยวนลงเราอาจจะลงตามบางส่วน เพราะจีนเป็นคู่ค้าใหญ่ แต่เราก็ต้องเตรียมการเพราะนักลงทุนตะวันตกพอเห็นจีนซึ่งคือเอเชียลงก็อาจจะขายหุ้นออกไป แต่เชื่อว่าจีนจะสามารถดูแลสถานการณ์ได้ดีเหมือนสมัย ค.ศ.1994 ก่อนเกิดวิกฤตฟองสบู่ทั้งเอเซีย
อินโฟเควสท์
เงินบาท ร่วงทะลุ 34 ทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบ 6 ปี
แนวหน้า : วิกฤติการเงินกรีซ ตลาดหุ้นจีนดิ่ง ธนาคารกลางสหรัฐจ่อขึ้นดอกเบี้ย ทำค่าเงินบาทอ่อน สำนักวิจัยซีไอเอ็มบีไทย ชี้มีโอกาสลงอีก แบงก์ชาติเกาะติดใกล้ชิด
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโสสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า การที่เงินบาทอ่อนค่าลงมาเคลื่อนไหว 34.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม เป็นการอ่อนค่าตามค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าลงเพราะกังวลปัญหาวิกฤติการเงินของกรีซ รวมถึงการดิ่งลงอย่างหนักของตลาดหุ้นจีน ทำให้มีแรงขายออกมาในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้น ซึ่งมองว่า 2 ปัจจัยดังกล่าว เป็นปัจจัยระยะสั้น แต่ปัจจัยหลักที่กดดันการอ่อนค่าของเงินบาทคือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ในช่วงเดือนกันยายนนี้
นายอมรเทพ กล่าวว่า แนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าได้อีก แต่ไม่มากนัก เนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติมีน้อย เพราะปีนี้
ต่างชาติเข้ามาในลงทุนในหุ้นและพันธบัตรไทยน้อย เมื่อเทียบกับอินโดนีเซียและมาเลเซีย ประกอบกับไทยมีการนำเข้าน้อยจึงไม่ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐมาก
ทั้งนี้ เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 34.05 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าต่อจากวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ที่ปิดตลาดระดับ 33.99 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นการอ่อนค่าสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่เดือนกันยายน2552
นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีจีนระงับการซื้อขายหุ้นของบริษัท
อย่างน้อย 1,249 ราย ในตลาดหุ้นทำให้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จีนปรับลดลงอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ เพราะนักลงทุนเกิดความกังวลต่อความผันผวนและเทขายหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ผลต่อเศรษฐกิจจีนล่าสุดยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจน แต่หากตลาดหุ้นยังคงปรับลดต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจผ่านความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่ลดลง และความมั่งคั่งของภาคครัวเรือน ที่ปรับลดลงทั้งจากเงินออมและมูลค่าราคาทรัพย์สิน ซึ่งจะกระทบต่อการบริโภคของภาคครัวเรือนระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อการระดมทุนในจีนไม่น่าจะมาก เพราะการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์มีเพียง 2%
ปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์จีนมีการถือครองคิดเป็นสัดส่วน 20% ของมูลค่าตลาด นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ใช้เงินลงทุนจากเงินออมและการกู้ยืมแบบ margin loan ดังนั้น เมื่อราคาหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันลดลงนักลงทุนเหล่านี้จะถูกบังคับขายหลักทรัพย์และต้องรับผลขาดทุน
แม้ว่า ตลาดหลักทรัพย์จีนปรับลดลงจะส่งผลต่อบรรยากาศของนักลงทุนบ้าง แต่ภาพรวมผลกระทบต่อตลาดเงินโลกยังมีไม่มาก สำหรับการลงทุนของนักลงทุนไทยในประเทศจีนส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนโดยตรง แต่เป็นการลงทุนผ่านกองทุน FIF ซึ่งลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งในระดับสูง (A+/A) อีกทอดหนึ่ง โดยรวมการปรับลดลงของตลาดหลักทรัพย์จีน จึงประเมินว่าน่าจะมีผลกระทบต่อฐานะการลงทุนของไทยค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด