แม้ว่าการสั่งชะลอผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะสร้างความโล่งใจให้คนไทยระดับหนึ่ง
แต่ก็ถือเป็นเพียงชั่วคราว เพื่อให้กระทรวงการคลังไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป
ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ข่าวภาษีที่ดินถือว่าสร้างความอึดอัดให้กับคนไทยไม่น้อย เพราะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแทบทุกวันที่เป็นข่าว
ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเคยมีการพูดถึงกันมาแล้วในอดีต ถูกหยิบจากลิ้นชักมาปัดฝุ่นอีกครั้งเมื่อ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้ประเทศไทยเก็บภาษีจากทรัพย์สิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และทำสำเร็จไปแล้ว 1 เรื่อง คือภาษีมรดก
เดิมทีกระทรวงการคลังจะเสนอภาษีที่ดินเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่ปลายปี 2557 ที่ผ่านมา แต่ต้องชะลอไว้ เพราะต้องการให้ภาษีมรดกผ่านพ้นกระแสคัดค้านไปก่อน
ก่อนภาษีที่ดินจะถูกเบรก นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้า
ผลักดันภาษีตัวนี้เข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 มีนาคมนี้ แต่ในระหว่างการจัดทำภาษี มีการปล่อยข่าวถึงอัตราที่จะจัดเก็บและมาตรการลดหย่อนมาโดยตลอด
ช่วงแรกเมื่อคำนวณตัวเลขภาระภาษีออกมา จุดชนวนเสียงค้านของกลุ่มคนทุกระดับชั้นในสังคม บ้านเล็ก บ้านใหญ่ ส่อว่าจะถูกเก็บภาษีแทบทุกหลัง
กระทรวงการคลังจึงกลับลำ จากเดิมคนที่มีบ้านทุกหลังในไทยต้องเสียภาษี จะมากจะน้อยแล้วแต่มูลค่า เป็นยกเว้นให้กับบ้านที่มีราคา 1 ล้านบาท เพิ่มเป็นยกเว้นสำหรับบ้าน 2 ล้านบาท และลดลงมาที่ 1.5 ล้านบาทไม่ต้องเสียภาษี
ส่วนคนที่มีบ้านแพงกว่านั้นจะได้รับการลดหย่อนภาษีตั้งแต่ 25% จนถึง 50% จากภาระภาษีที่ต้องจ่าย
เมื่อมีเสียงคัดค้านมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มคนชั้นกลางอันเป็นฐานเสียงสนับสนุน คสช. ทำให้ฝ่ายการเมืองของ คสช.นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ คสช.เมื่อวันที่ 12 มีนาคมว่า ควรจะชะลอเรื่องเสนอภาษีออกไปก่อน
ในวันนั้นนายสมหมายไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องจากติดภารกิจของกระทรวงการคลัง ถือเป็นการ "หัก" กันอีกครั้งในแวดวงรัฐบาล คสช.
แต่แม้ถูกสั่งชะลอ นายสมหมายยังยืนยันจะผลักดันภาษีที่ดินเข้า ครม.อีกครั้งภายในรัฐบาลชุดนี้ เพราะมองว่าหากปล่อยให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสนอ คงหมดโอกาส
"ยังดีที่ชะลอ ไม่ใช่การยกเลิก ระหว่างนี้ยังมีโอกาสที่จะเสนอกฎหมายจนกว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2559 ยืนยันว่าจะผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อไป เพราะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปภาษีของประเทศ และจะพยายามเสนอภายในรัฐบาลชุดนี้ กฎหมายนี้ถูกเสนอมาจากข้าราชการกระทรวงการคลังมาตั้งแต่ปี 2539 และเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุดเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลประชาธิปัตย์เมื่อช่วงปี 2553 แต่ก็เกิดการยุบสภา ทำให้กฎหมายนี้ต้องมา
เริ่มต้นใหม่" นายสมหมายกล่าว
ทั้งนี้ ในการผลักดันภาษีที่ดินมีคำสั่งมาจากทางทำเนียบรัฐบาล แจ้งมาว่าให้คนของกระทรวงการคลังดำเนินการอย่างเงียบที่สุด ให้เหมือนกับกฎหมายภาษีอื่นๆ ที่ออกมาพูดได้ต่อเมื่อกฎหมายผ่าน ครม.แล้ว และสุดท้ายในช่วงที่รอการเสนอกฎหมาย กระทรวงการคลังต้องเร่งไปทำความเข้าใจกับสังคมและประชาชนถึงความจำเป็นที่ต้องจัดเก็บภาษี
สอดคล้องกับในวันรุ่งขึ้น หลังจากกฎหมายถูกชะลอออกไป นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ส่งเอกสารข่าวมายังสื่อมวลชนของกระทรวงการคลัง เพื่อโต้แย้งข้อมูลที่มีการระบุว่าคนไทยเสียภาษีสูงสุดในอาเซียน และติดอันดับ 7 ของโลก ทาง สศค.ระบุว่า เรื่องดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง
จุดเริ่มต้นของข้อมูลมาจากสถิติที่รวบรวมโดยธนาคารโลกนั้น ไม่ใช่ข้อมูลภาระภาษีของภาครัฐทั้งหมด แต่เป็นข้อมูลเฉพาะของรัฐบาลกลางเท่านั้น ทำให้ดูเหมือนว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่จัดเก็บภาษีมากสุด
แต่ถ้าเทียบกันแล้ว พบว่าการจัดเก็บภาษีของไทยอยู่ที่ 20.6% ของจีดีพี ถือว่าต่ำมาก ค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี อยู่ที่ 40.1% ของจีดีพี และค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ที่ 24.5% ของจีดีพี หากเรียงลำดับจากประเทศที่มีสัดส่วนดังกล่าวจากสูงไปต่ำแล้ว จะพบว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 153 จาก 180 ประเทศทั่วโลก และอยู่ในลำดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศอาเซียน
"ไทยยังต้องมีการพัฒนาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก ขณะที่ภาระภาษีที่คนไทยจ่ายโดยรวมถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ นอกจากนี้ การจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่นเองก็เก็บได้น้อย และรัฐบาลส่วนกลางยังต้องจัดสรรเงินปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ไปให้ท้องถิ่น
คลังยังหวังว่าภาษีที่ดินจะถูกหยิบยกมาพิจารณาอีกครั้ง เพราะภาษีนี้จะเป็นเครื่องมือในการจัดหารายได้ของท้องถิ่นที่สำคัญ" นายกฤษฎากล่าว
จากตรงนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระทรวงการคลังในการเริ่มวางกลยุทธ์ผลักดันกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีกครั้ง และครั้งนี้น่าจะเป็นการดำเนินการแบบลับๆ เพื่อไม่ให้กฎหมายนี้ถูกยกเลิกซ้ำรอยอีก
"ในการเสนอกฎหมายต้องมีเทคนิค ดันไปเสนอภาษีโรงเรียนกวดวิชาตัดหน้า พอมีเรื่องภาษีที่ดิน เลยถูกผสมโรงว่าเป็นการซ้ำเติมประชาชน ทั้งที่ภาษีโรงเรียนกวดวิชาเป็นเรื่องเล็กมากเมื่อเทียบกับภาษีที่ดิน เมื่อมีกระแสต่อต้านขึ้นมา ก็เกิดการผสมโรงของการต่อต้านทั้งการเมือง ทั้งประชาชน เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวจนกฎหมายต้องถูกเบรกกลางอากาศ" แหล่งข่าวรายหนึ่งให้ความเห็น
หลังจากนี้ ไปกระทรวงการคลังคงต้องกลับไปกำหนดแนวทางของการเสนอกฎหมายให้ชัดเจนว่า กฎหมายนี้จะจัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ หรือเป็นการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม เพราะถ้าเพิ่มรายได้ควรจะจัดเก็บกับคนทุกกลุ่ม และการลดหย่อนจะต้องไม่มาก
แต่หากจะลดความเหลื่อมล้ำแบบไม่สนใจรายได้ อัตราจัดเก็บและการลดหย่อนจะเป็นอีกแบบหนึ่ง และต้องรอบคอบรัดกุมที่สุด และต้องฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะมีผลกระทบเป็นวงกว้าง
ที่สำคัญ เซ็นเตอร์ของการผลักดันคือกระทรวงการคลัง ต้องรักษาอาการ รักษาความนิ่ง หากต้องการให้กฎหมายนี้ไปถึงฝั่ง
ไม่เช่นนั้นอาจถูกจับแขวนหรือแช่แข็งอีกครั้งได้ง่ายๆ