- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Thursday, 25 December 2014 07:36
- Hits: 2836
ภาษีมรดก แก้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมหรือฉุดการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
บ้านเมือง : คนไทยส่วนใหญ่น่าจะดีใจที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการตราภาษีมรดก ในอดีตประเทศไทยเคยประกาศใช้ภาษีมรดกมาแล้วขณะนั้นเรียกว่า "พระราชบัญญัติอากรมฤดกและการรับมฤดก พุทธศักราช 2476" เป็นการเรียกเก็บภาษีจากทั้งผู้ตายทางหนึ่งและเก็บจากทายาทผู้รับมรดกอีกทางหนึ่ง แต่ด้วยความยุ่งยากในการจัดเก็บภาษีมรดกดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไป
ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี หลังจากนั้นสังคมไทยก็ท้าทายรัฐบาลชุดต่างๆ ให้นำภาษีมรดกกลับมาใช้ใหม่ แต่ก็ไม่มีรัฐบาลใดมีความกล้าหาญพอจนกระทั่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่เสนอให้มีการจัดเก็บภาษีมรดกอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบรายละเอียดเพราะต้องรอการพิจารณาของสภานิติบัญญัติ อย่างไรก็ตามการจัดเก็บภาษีมรดกที่รัฐบาลเสนอนั้นมีข้อกำหนดที่สำคัญ 3 ประการคือ
ประการที่หนึ่ง ภาษีมรดกกำหนดให้ทายาทที่รับมรดกเกิน 50 ล้านบาทต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งการกำหนดฐานภาษีและอัตราภาษีดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีรายได้ภาษีมรดกน้อยมากจากฐานข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2556 พบว่าจากจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยทั้งหมด 22.63 ล้านครัวเรือน มีครอบครัวที่มีทรัพย์สินเกิน 50 ล้านบาทเพียง 17,655 ครัวเรือนเท่านั้น
ในจำนวนนี้หากนำจำนวนบุตรมาหารพบว่ามีจำนวนทายาทที่รับมรดกเกิน 50 ล้านบาทเพียง 5,626 คน โดยทายาทแต่ละคนจะรับมรดกเฉลี่ยคนละ 93.61 ล้านบาท เมื่อทายาทเหล่านี้ต้องเสียภาษีมรดกเฉพาะในส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท พบว่าทายาทแต่ละคนต้องเสียภาษีให้รัฐเฉลี่ยคนละ 7.67 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังมีรายได้จากภาษีมรดกทั้งสิ้น 43,473 ล้านบาท แต่เงินจำนวนนี้จะต้องทยอยจ่ายให้กระทรวงการคลังเพราะครอบครัวที่พึงต้องเสียภาษีมรดกทั้งหมดคงไม่เสียชีวิตพร้อมๆ กันในปีเดียว
ดังนั้น หากสมมติให้ครอบครัวเหล่านี้ทยอยเสียชีวิตในช่วงระยะเวลา 20 ปีก็จะทำให้กระทรวงการคลังเก็บภาษีมรดกได้เพียงปีละประมาณ 2,174 ล้านบาท หากเทียบกับรายได้ภาษีทั้งหมดที่กระทรวงการคลังเก็บได้ในปี 2556 คิดเป็นเงิน 2,157,474 ล้านบาท รายได้จากภาษีมรดกจะเป็นแหล่งรายได้ของรัฐที่มีความสำคัญน้อยที่สุดเพราะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.01 ของรายได้ภาษีทั้งหมดของประเทศ
ประการที่สอง ถึงแม้กลุ่มเป้าหมายหลักที่พึงต้องเสียภาษีมรดกคือทายาทที่รับมรดกเกิน 50 ล้านบาท แต่รัฐบาลก็เกรงว่าจะมีการทยอยโอนทรัพย์สินให้ทายาทก่อนเสียชีวิต ดังนั้นรัฐบาลจึงเสนอให้มีการ แก้ประมวลรัษฎากรโอนทรัพย์สินให้บุตรในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทโดยต้องเสียภาษีให้อีกร้อยละ 5 ด้วยการเก็บภาษีในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทเพิ่มมาด้วยนี้คงช่วยป้องกันการโอนมรดกให้ทายาทก่อนเสียชีวิตได้บ้าง แต่ผลกระทบก็คือครอบครัวที่มีทรัพย์สินเกิน 10 ล้านบาท แต่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งมิได้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่พึงเสียภาษีมรดกกลับต้องมาแบกรับภาระเสียภาษีด้วยหากมีการให้มรดกกันก่อนเสียชีวิต
ดังนั้น สิ่งที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นคือครอบครัวที่มีมรดกเกิน 10 ล้านบาท แต่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทจะโอนมรดกให้ทายาทหลังที่ตนเสียชีวิตแล้วเพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีมรดก ส่วนครอบครัวที่มีทรัพย์สินมากกว่า 50 ล้านบาท จะทยอยโอนมรดกให้ทายาทก่อนเสียชีวิตเพื่อลดภาระภาษีแต่ที่แน่ๆ คือครอบครัวจำนวนมากจะเริ่มทยอยโอนทรัพย์สินให้ทายาททุกๆ ปี ปีละ 9.99 ล้านบาท เพราะจะได้ไม่ต้องเสียภาษีอะไรเลย หรือไม่ก็จะออมด้วยการซื้อทรัพย์สินต่างๆ แต่ใส่ชื่อลูกๆ แทน หรือไม่ก็ทำสัญญาเงินกู้กันระหว่างพ่อกับลูก
ประการที่สาม ภาษีมรดกที่กระทรวงการคลังเสนอให้สภานิติบัญญัติพิจารณาจะเรียกเก็บไม่เฉพาะทรัพย์สินที่จดทะเบียนเท่านั้น เช่น บ้าน, ที่ดิน, หุ้น, รถยนต์ หรือเงินในบัญชี แต่จะเก็บจากทรัพย์สินทุกประเภท ที่เจ้าพนักงานทราบรวมทั้งแก้ว แหวน เงิน ทอง นาฬีกา ภาพวาด หรือพระเครื่อง การเก็บภาษีมรดกในลักษณะนี้คงจะมีปัญหาในทางปฏิบัติเพราะเจ้าพนักงานสรรพากรคงต้องเหน็ดเหนื่อยในการรวบรวมทรัพย์สมบัติของเจ้า
มรดกทั้งหลายและทำการประเมินมูลค่า แค่ทรัพย์สมบัติของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ คนเดียวก็ทำบัญชีรายการประเมินมูลค่ากันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ดังนั้นหากต้องประเมินมูลค่าทรัพย์สินของทุกคนก็คงจะเป็นภารกิจที่ยุ่งยากพอควรสำหรับกระทรวงการคลัง แต่ที่สำคัญคือการเก็บภาษีมรดกทุกรายการอาจนำไปสู่การใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานในการพิจารณาว่าจะตรวจทรัพย์สมบัติของทายาทผู้รับมรดกแต่ละรายอย่างเท่าเทียมกันอย่างไร
จริงอยู่ที่ว่ามีหลายประเทศที่เก็บภาษีมรดก แต่ก็มีหลายประเทศเช่นกันที่ไม่เก็บภาษีมรดก และยังมีหลายประเทศที่ในอดีตเคยเก็บภาษีมรดกแต่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว สถาบันอนาคตไทยศึกษาได้รวบรวมข้อมูลรายประเทศทั้งที่มีและไม่มีการเก็บภาษีมรดกพบว่ามีเพียง 13 ประเทศจาก 45 ประเทศที่ทำการสำรวจมีการเก็บภาษีมรดกและส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ในเอเชียมีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่เก็บภาษีมรดก คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่ไม่มีการเก็บภาษีมรดก ได้แก่ ประเทศอาร์เจนตินา โคลอมเบีย จีน อินเดีย นิวซีแลนด์ และสวีเดน นอกจากนั้นพบว่ามี 5 ประเทศที่เคยมีการเก็บภาษีมรดกแต่ยกเลิกไปแล้ว ได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย แคนาดา และนอร์เวย์ ซึ่งสาเหตุที่ประเทศเหล่านี้ยกเลิกการเก็บภาษีมรดกเป็นเพราะต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศภาษีมรดกสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายและเป็นภาษีที่สร้างรายได้ให้รัฐได้น้อย
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการเก็บภาษีมรดกของประเทศไทยครั้งนี้คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเก็บภาษีได้เงินเข้ารัฐเท่าไหร่ หรือรายรับภาษีที่เก็บได้จะคุ้มกับต้นทุนการจัดเก็บหรือไม่ แต่คำถามสำคัญในการตราพระราชบัญญัติภาษีมรดกครั้งนี้คือการตอบโจทย์สำคัญของประเทศว่า "ภาษีมรดกจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้หรือไม่" ด้วยเหตุนี้ หากรัฐต้องการเร่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยรัฐบาลควรเริ่มที่ต้นตอของปัญหาความเหลื่อมล้ำซึ่งมีสาเหตุหลัก 8 ประการ ได้แก่
1.ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา คุณภาพของโรงเรียนต่างๆ ในประเทศไทยที่มีความแตกต่างกันมากทำให้นักเรียนแต่ละคนมีระดับทุนมนุษย์และความสามารถในการประกอบอาชีพแตกต่างกัน ปัญหานี้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในระดับมหาวิทยาลัยเมื่อรัฐบาลจ่ายเงินสนับสนุนมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เพราะเงินสนับสนุนนี้กลับไปตกกับลูกคนรวยที่มีเงินเรียนกวดวิชาสารพัดจนสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐได้และยังจ่ายค่าหน่วยกิตในอัตราที่ต่ำด้วยในขณะที่ลูกคนที่มีรายได้น้อยแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐเลยเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินจ่ายค่ากวดวิชาเพื่อให้สามารถสอบแข่งขันจนเข้าเรียนได้
2.ความแตกต่างระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดยังเป็นปัญหาที่ไม่ค่อยได้รับการแก้ไขทำให้เกิดความแตกต่างทางโอกาสในหลายๆ ด้าน 3.การผูกขาดทางธุรกิจการค้าและการแข่งขันน้อยรายเป็นปัญหาที่สังคมไทยละเลยมานานจนทำให้เกิดปัญหาการกระจุกตัวของผลตอบแทนทางธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงผู้ประกอบการในธุรกิจบางประเภทมีอำนาจตลาดจากการมีคู่แข่งน้อยรายนี้นำไปสู่การกอบโกยกำไรจำนวนมากจนสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเกินกว่าจะเยียวยาได้ดังจะพบเห็นได้ในธุรกิจอาหารสัตว์ เคเบิลทีวี โทรคมนาคม ดาวเทียมพลังงาน ไฟฟ้า และธนาคารพาณิชย์
4.การคอรัปชั่นในแวดวงการเมืองและระบบราชการเป็นกลไกที่นำไปสู่ความแตกต่างทางเศรษฐกิจในสังคมไทย การคอรัปชั่นทางการเมืองทำให้นักธุรกิจจำนวนมากหันเข้าสู่วงการการเมืองไม่ใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนแต่เพื่อแสวงช่องทางในการคอรัปชั่นในรูปแบบต่างๆ เหตุการณ์ค่าโง่ทางด่วนหรือค่าโง่คลองด่านเป็นตัวอย่างการคอรัปชั่นที่มีให้เห็นทั่วไป นอกจากนั้นยังมีปัญหาเงินทอนจากการประมูลงานในโครงการต่างๆ ของรัฐ การคอรัปชั่นในรูปการจ่ายเงินซื้อตำแหน่งทางราชการยังเป็นปัญหาที่บั่นทอนประสิทธิภาพกลไกภาครัฐอีกด้วย โดยผู้มีอิทธิพลและเจ้าพนักงานของรัฐจากการดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นตอของความเหลื่อมล้ำในสังคมทั้งนั้น
5.การเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมจากฐานทรัพยากรธรรมชาติเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวผู้มีอันจะกินสามารถกอบโกยทรัพย์สินของชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ในขณะที่ผู้ยากไร้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติได้ ตัวอย่างที่พบเห็นได้แก่กลุ่มทุนรายใหญ่มักจะมีโอกาสมากกว่าในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจของกลุ่มทุนการทำเหมืองแร่หรือการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อนุรักษ์ เป็นต้น สิ่งที่พบเห็นเสมอคือ เมื่อประเทศประสบปัญหาภัยแล้งเกษตรกรจะเป็นคนกลุ่มแรกที่รัฐบาลจะประกาศงดการจ่ายน้ำเพื่อทำนาปลัง ในขณะที่รัฐบาลไม่เคยปฏิเสธการจัดสรรน้ำให้นิคมอุตสาหกรรม โรงแรม หรือภาคบริการ
6.การเข้าถึงข่าวสารข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกันเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่นำมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในประเทศไทยตัวอย่างที่เกิดขึ้นได้แก่การรับทราบข้อมูลการลดค่าเงินบาทก่อนคนอื่นได้ทำให้บางคนสามารถตักตวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาลจากการแปลงสภาพหนี้จากหนี้ในรูปเงินดอลลาร์เป็นเงินบาท นอกจากนั้น การทราบข้อมูลการด้านคมนาคม หรือข้อมูลการเปิดขายหุ้นรัฐวิสาหกิจก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่ได้รับข้อมูลก่อนสามารถตักตวงผลประโยชน์ทางธุรกิจได้อย่างมหาศาล ขณะที่ประชาชนคนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจนี้
7.ความยุติธรรมสองมาตรฐานการอธิบายกลไกการทำงานของระบบความยุติธรรมในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากเพราะเกี่ยวข้องกับกลไกการทำงานที่หลากหลายตั้งแต่การจับกุม การไต่สวนการส่งฟ้องและการดำเนินคดีถึงแม้บางกลไกในกระบวนการยุติธรรมยังเป็นที่พึ่งของสังคมได้อยู่ แต่บางกลไกคงต้องมีการยกเครื่องขนานใหญ่มิฉะนั้นคงไม่เกิดปัญหาสองมาตรฐานในระบบความยุติธรรมและเป็นบ่อเกิดของความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
8.การมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดรูปแบบการพัฒนาในพื้นที่และการพัฒนาประเทศเป็นอีกหนึ่งกลไกที่นำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ทิศทางและรูปแบบการพัฒนาประเทศส่วนมากมักถูกกำหนดโดยข้าราชการระดับสูงนักวิชาการและการชี้นำโดยองค์กรระหว่างประเทศ
โดยสรุป การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะที่ผ่านมาความร่ำรวยของบางครอบครัวได้ทำลายประเทศชาติเป็นอย่างมาก ความเหลื่อมล้ำนำไปสู่การซื้อนักการเมืองซื้อ ส.ส. ทำลายกลไกการบริหารราชการที่ดีรวมทั้งทำลายระบบความยุติธรรมต่างๆ ของประเทศด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำจึงเป็นต้นทุนทางสังคมที่สูงมากสำหรับประเทศไทยความตั้งใจแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นก้าวสำคัญที่ควรได้รับการดูแลที่ต้นตอปัญหาอย่างแท้จริง การนำภาษีมรดกมาใช้เป็นการแสดงถึงเจตนาที่ดีของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศไทย แต่รัฐบาลก็ควรมีแผนงานด้านความเหลื่อมล้ำที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างจริงจังด้วยมิฉะนั้นการตราภาษีมรดกเพียงอย่างเดียวก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงการฉุดการพัฒนาประเทศให้ก้าวถอยหลังกลับไปปี 2476 เท่านั้นเอง