- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Wednesday, 24 December 2014 01:04
- Hits: 3058
TMB คาดปี 58 สินเชื่อแบงก์ทั้งระบบโต 10.9% หลังสินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัวดี พร้อมหั่นเป้าจีดีพีปีหน้าเหลือโต 3.5% จากเดิม 4%
TMB คาดสินเชื่อแบงก์ทั้งกลุ่มปี58โต10.9%จากปีนี้ที่ 5.8%หลังสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตดี หั่นเป้าจีดีพีปี 58 เหลือโต 3.5% จากเดิม 4% หลังศก.ฟื้นตัวล่าช้า ส่วนส่งออกปีหน้าคาดโต 3.5% พร้อมมองค่าเงินบาทปีหน้าอ่อนค่าลงแตะ 33.50 บาทต่อดอลล์ เหตุกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics เปิดเผยว่า แนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในปี 58 คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 10.9% จากปีนี้ที่ขยายตัว 5.8% โดยสินเชี่อไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต และสินเชื่อเงินสด ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการขยายตัว ส่วนเงินฝากขยายตัวต่ำกว่าสินเชื่อเล็กน้อยที่ระดับ 9.3% แต่เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่อยู่ที่ 4.4% โดยมองว่าธนาคารพาณิชย์จะดำเนินกลยุทธ์ด้วยเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่น่าดึงดูดความสนใจ และมีความยืดหยุ่นในการถอนเงินได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน หลังจากนี้ไปธนาคารไทยจะเริ่มเข้าสู่รูปแบบธุรกิจ ธนาคารไร้สาขา โดยสนับสนุนให้ผู้ใช้บริการสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ทุกที่ ผ่านช่องทางออนไลน์ของแต่ละธนาคาร โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสาขา เพื่อสอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของภาครัฐ
ศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือจีดีพีในปี 2558 ลงเหลือ 3.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 4% เนื่องจาก แนวโน้มเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวล่าช้ากว่าคาดการณ์ไว้มาก ทั้งการบริโภคที่ยังประสบปัญหา การลงทุนที่ยังรอการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่เป็นตัวขับเคลื่อน
ส่วนเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯจะยังไม่เข้าสู่ระบบเต็มที่ในปี 2558 โดยประเมินเม็ดเงินก่อสร้างจะเข้าสู่ระบบจริงในปี 2559-2560 ตามโครงการเร่งด่วนและแผนพัฒนารถไฟ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังมีการฟื้นตัวเปราะบาง ยุโรปยังน่าเป็นห่วง ขณะที่ญี่ปุ่นยังต้องจับตาการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ หรือ คิวอี ทำให้การส่งออกของไทยคาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3.5% เท่านั้น
“ปัจจัยเสี่ยงในปี 58 นอกจากเรื่องจากเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการของรัฐบาลที่ล่าช้ากว่าคาดแล้ว ยังมีในเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับลดลงแรงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อต่ำทั่วโลก แม้จะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจที่ใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 2 ใน 3 ของทั้งหมด แต่ยังกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักหลายตัว และรายได้เกษตรตกต่ำต่อเนื่องด้วย” นายเบญจรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงแรง ยังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ส่งออกน้ำมัน เช่น รัสเซีย และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีนี้ ถึงต้นปีหน้าด้วย เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากรัสเซียมีสัดส่วนรายได้ถึง 10% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด และยังมีโอกาสลุกลามมากขึ้นจนกลายเป็นวิกฤติการเมืองระหว่างประเทศได้ ซึ่งคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ศูนย์วิเคราะห์ประเมินราคาน้ำมันดิบในปี 2558 อยู่ที่ 58 เหรียญต่อบาเรล
นายเบญจรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับธุรกิจดาวเด่นในปี 2558 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการนโยบายและแผนการลงทุนพัฒนาของภาครัฐ เช่น พลังงานทดแทน ไอทีและสื่อสารเทคโนโลยี ก่อสร้าง/ที่ปรึกษาวิศวกรรม-สิ่งแวดล้อม และวัสดุก่อสร้าง ส่วนกลุ่มที่ 2 ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก พร้อมรับแรงสนับสนุนจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ได้แก่ ท่องเที่ยว ขนส่ง แปรรูปอาหาร ค้าปลีก และบริการทางการแพทย์ เป็นต้น
สำหรับ ธุรกิจที่มีปัจจัยต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ผู้ผลิตและผู้ค้าน้ำมันจากความเสี่ยงในการบริหารจัดการสต๊อก กลุ่มสินค้าคงทน (ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์)และอสังหาริมทรัพย์ยังคงถูกกดดันจากระดับหนี้ครัวเรือน สินค้าเกษตรและแปรรูปที่มีปัญหาจากราคาสินค้าเกษตรหลัก และกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้นในการผลิต จะเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่องในปีหน้า
ในปี 2558 ค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าจากปีนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.5 บาทต่อดอลลาร์ จากความกังวลของนักลงทุนต่อกรณีการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ซึ่งจะหนุนค่าเงินดอลลาร์และกดดันสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่
“อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ไปคงต้องเฝ้าระวังความผันผวนของนโยบกายการเงินของต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่มีความแตกต่างกันด้วย”นายเบญจรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมองว่าสภาพคล่องในปีหน้าอาจตึงตัวเล็กน้อย จากการกลับมาของการขยายตัวของสินเชื่อในประเทศ พร้อมกับแนวโน้มในการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐด้วย รวมทั้งการลดการคุ้มครองเงินฝากลงเหลือ 1ล้านบาท จะส่งผลให้ต้นทุนของธนาคารปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากภาวะสินเชื่อที่จะกลับมาขยายตัวได้ตามเศรษฐกิจ ปัจจัยในภาคการเงินอื่นๆอาจเผชิญ โรคเลื่อน ทำให้สภาพคล่องส่วนเกินในระบบน่าจะมีอยู่ถึงต้นปี 2559 ภายใต้เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมองเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-1.8% ซึ่งจะเอื้อต่อดอกเบี้ยนโยบายในระดับผ่อนคลาย และส่งผลดีกับสินทรัพย์เสี่ยงทั้งตราสารหนี้ และตราสารทุน