- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Monday, 08 December 2014 23:48
- Hits: 3791
ศุภวุฒิ มองบาทปี 58 แนวโน้มอ่อนค่าแตะ 34 แต่ไม่น่ากังวลเหตุเงินเฟ้อต่ำ
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวในงานเสวนา"ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2558"ว่า เงินบาทปี 58 มีโอกาสอ่อนค่าแตะ 34 บาท/ดอลลาร์ ตามทิศทางค่าเงินเยนและเงินยูโร เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้น จึงจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ส่งผลให้ค่าเงินสกุลต่างๆ อ่อนค่าลง อาทิ ค่าเงินเยน เงินยูโร รวมถึงค่าเงินบาทด้วย
ทั้งนี้ ในระยะยาวต้องดูดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นหลัก แต่เชื่อว่าประเทศไทยจะยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ช่วยให้เงินบาทไม่อ่อนค่าลงไปมากกว่านั้น
นายศุภวุฒิ ระบุว่า การที่เงินบาทอ่อนค่าไม่น่ากังวล เนื่องจากโดยภาพรวมแล้วอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% เช่นเดิม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำที่ไม่เป็นแรงกดดันให้ กนง.ต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ไปจนถึงปลายปี 2558 และหากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะปรับขึ้นเพียง 0.25% เท่านั้น
สำหรับ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้ 3.7% ดีขี้นกว่าปีนี้ เนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเศรษฐกิจสนช่วงไตรมาสที่ 2 ทั้งปัญหาภัยแล้งที่มีผลต่อราคาสินค้าเกษตร รวมถึงรัฐธรรมนูญร่างแรกที่จะเป็นตัวชี้ทิศทางการการเมืองของไทยในอนาคตว่าจะมีเสถียรภาพหรือไม่ ซึ่งจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยหากสถานการณ์เหล่านี้เป็นไปในเชิงบวกจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้
อินโฟเควสท์
นักลงทุนหวั่นอัตราภาษีใหม่ เชื่อกระทบเศรษฐกิจประเทศ
แนวหน้า : นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร เปิดเผยงานสัมมนา "Thailand Economic Outlook 2105 ทิศทางเศรษฐกิจไทย 2558" ว่า การปรับขึ้นภาษีต่างๆ ของรัฐบาลถึง 5 ตัว ทั้งการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) การเก็บภาษีผู้รับมรดก การเก็บภาษีที่ดิน การขึ้นภาษีน้ำมัน และการเก็บภาษีสรรพสามิตจากราคาขายปลีก จากเดิมเก็บจากราคาหน้าโรงงาน ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล และชะลอการลงทุนออกไป เพื่อรอความชัดเจน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
"ญี่ปุ่นปรับเพิ่มภาษีการค้าตัวเดียวจาก 5% เป็น 8% ทำให้เศรษฐกิจจากที่เคยขยายตัวเป็นบวกกลายเป็นขยายตัวติดลบทันที และไทยจะปรับเพิ่มภาษีที่เดียวถึง 5 ตัว ซึ่งเรื่องของการปรับเพิ่มภาษีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รัฐบาลต้องพิจารณาให้รอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ" นายศุภวุฒิ กล่าว
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะขยายตัวไม่ถึง 2% ทำให้ทั้งปีขยายตัวได้ไม่ถึง 1% ต่อปี เนื่องจากการส่งออกขยายตัวได้น้อย และการลงทุนภาครัฐช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยไม่ได้มาก สำหรับเศรษฐกิจปีหน้าคาดว่าจะโต 3.7% ต่อปี แต่ต้องรอดูความชัดเจนจนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า ว่า ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ออกมาเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย และการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาลทำได้ดี
ด้านนานเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีของรัฐบาลมีความจำเป็น แม้ว่าจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจในระยะสั้นอยู่บ้าง เพราะมองในแง่ของเศรษฐศาสตร์การเมือง การปรับขึ้นภาษีหากไม่ทำในรัฐบาลนี้ รอให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำได้ยาก เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ยากขึ้นภาษีให้เสียคะแนนนิยม
นายเอกนิติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้มากกว่า 1% เพราะการส่งออกของไทยเริ่มฟื้นตัว การท่องเที่ยวดีขึ้น และฐานเศรษฐกิจของไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาต่ำ ทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ออกมาสูง ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่า 1% ต่อปี
รองผู้อำนวยการ สศค.กล่าวว่า การเบิกจ่ายลงทุนภาครัฐยังมีความสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่ามูลค่าการลงทุนภาครัฐจะมีแค่ 5% ของจีดีพี แต่การลงทุนภาครัฐหากทำได้ดี ก็จะทำให้เอกชนมั่นใจและลงทุนตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจ