- Details
- Category: บทความการเงิน
- Created: Thursday, 22 February 2018 22:57
- Hits: 6364
คืนความเป็นธรรมด้านภาษี ให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ...
การเสียภาษีเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทย ใครเสียภาษีได้อย่างถูกต้องถือเป็นผู้มีเกียรติ แต่ถ้ารัฐปฏิบัติต่อผู้เสียภาษีอย่างไม่เป็นธรรม เท่ากับว่าทุกครั้งที่เขาเสียภาษี รัฐกำลังทำร้ายจิตใจของคนดี และผลักไสให้เขารู้สึกต่อต้านจนนำไปสู่การหลีกเลี่ยงที่จะเสียภาษีในที่สุด
หลักทั่วไปในการคำนวณเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อเสียภาษี เราจะเริ่มจากการหาว่าผู้มีเงินได้มีรายได้รวมเท่าไร จากนั้นให้นำไปหักกับรายจ่ายที่กฎหมายกำหนดเพื่อหารายได้สุทธิ สุดท้าย จึงคำนวณภาษีตามอัตราที่รัฐกำหนด
ในประมวณรัษฎากร มาตราที่ 40 แบ่งเงินได้พึงประเมินของบุคคลธรรมดาออกเป็น 8 ประเภท ตามลักษณะอาชีพและการทำงาน โดยแต่ละกลุ่มจะกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้แตกต่างกันตามต้นทุน ตามความจำเป็นที่ต้องใช้ในการประกอบอาชีพนั้นๆ เช่น มาตรา 40(1) กลุ่มอาชีพลูกจ้างหรือคนกินเงินเดือน จะกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของรายได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เนื่องจากมองว่าคนกินเงินเดือนมีต้นทุนในการประกอบอาชีพเพียงการแต่งตัวไปทำงาน ค่าเดินทางและค่าอาหารกลางวัน นอกนั้นนายจ้างรับผิดชอบต้นทุนในการดำเนินงานทั้งหมด
ส่วนกลุ่มอาชีพอื่นๆ เช่น มาตรา 40(6) วิชาชีพอิสระ อาชีพที่ต้องใช้ความรู้ชั้นสูง ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์หรือใบประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์ ทนายความ วิศวกร นักบัญชี ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา 30% มาตรา 40(7) ผู้รับเหมา ให้หักค่าใช้จ่ายได้ 70% และมาตรา 40(4) รายได้จากดอกเบี้ย หักค่าใช้จ่ายไม่ได้ เนื่องจากเงินฝากสามารถออกดอกออกผลได้เอง โดยที่เราไม่ต้องลงแรงใดๆ
กลุ่มที่เป็นที่ถกเถียงกันมากในปัจจุบันคือ มาตรา 40(2) เงินได้จากการรับทำงานให้ หรืออาจพูดได้ว่า คือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้กินเงินเดือนหรือเป็นลูกจ้าง เช่น ตัวแทน นายหน้า ผู้รับทำงานวิจัย นักเขียนโปรแกรม หรือนักจัดงานพิธีการต่างๆ (Event organizer) โดยกลุ่มนี้ ปัจจุบัน กฎหมายกำหนดให้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เช่นเดียวกับคนกินเงินเดือน คือ หักได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ไม่ว่าพวกเขาจะมีรายได้ 3 แสนบาท, 5 แสนบาท, 1 ล้านบาทหรือ 5 ล้านบาท ซึ่งน่าจะมีที่มาจากหลักคิดที่ว่า คนกลุ่มนี้ ใช้เพียงแรงงาน หรือสติปัญญาในการประกอบอาชีพ ไม่ได้มีการลงทุนในเครื่องมือเครื่องใช้อะไรมากมาย จึงสมควรหักค่าใช้จ่ายเท่ากับคนกินเงินเดือน
วิธีคิดแบบนั้นคงไม่ผิด ถ้าเป็นสมมติฐานเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบัน ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบอาชีพต้องแข่งขันในเรื่องของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การนำเสนอ และการบริการหลังการขาย จึงต้องมีการลงทุนในเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัย มีการทำตลาด พร้อมทั้งมีการรับรองลูกค้าที่เหมาะสม ทำให้ต้นทุนในการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น แปรผันตามรายได้
ขอยกตัวอย่าง อาชีพตัวแทนขายประกันชีวิต หากมองกันเผินๆ พวกเขาก็เพียงใช้คารม คมคายในการเสนอขาย แต่ในความเป็นจริงของปัจจุบัน ถ้าต้องการอยู่รอดและประสบความสำเร็จ ตัวแทนมืออาชีพต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นมืออาชีพ ต้องพิถีพิถัน
ตั้งแต่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ต้องดูดี เสื้อผ้า เครื่องประดับ พาหนะที่ใช้ ของเยี่ยมของฝาก พร้อมกับการนำเสนออย่างมืออาชีพ ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย พวกเขายังต้องหมั่นเข้ารับการอบรมในหลักสูตรต่างๆทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ก้าวทันกับพัฒนาการในแวดวงการเงินที่ต้องเปลี่ยนไปเป็นนักวางแผนการเงิน ทั้งยังต้องติดตามเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หากเขาต้องการมีรายได้มาก เขายิ่งต้องพบลูกค้ามาก ค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มเป็นเงาตามตัว (โปรดดูตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย)
ตารางเปรียบเทียบต้นทุนค่าใช้จ่ายของผู้มีเงินได้มาตรา 40(1) และ 40(2)
อาชีพตามมาตรา 40(1) | อาชีพตามมาตรา 40(2) |
-นายจ้างจัดหาสถานที่ทำงานให้ -นายจ้างจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือให้ -นายจ้างรับผิดชอบโสหุ้ยดำเนินงาน -นายจ้างรับผิดชอบหากชิ้นงานเสียหาย -นายจ้างออกค่ารับรอง/ค่าการตลาดให้ทั้งหมด -นายจ้างออกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้ -นายจ้างจัดหาสวัสดิการและประกันสังคมให้ -นายจ้างต้องจ่ายเงินเดือนแม้ชิ้นงานไม่สำเร็จ -ผู้มีเงินได้รับผิดชอบเพียงชุดทำงาน/ค่าเดินทาง -ไม่มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไร |
-ต้องจัดหาสถานที่ทำงาน/ที่ติดต่อเอง -ต้องลงทุนเครื่องมือเครื่องใช้เอง -รับผิดชอบค่าใช้จ่ายดำเนินงานเอง -รับผิดชอบความเสียหายของชิ้นงานเอง -ออกค่าใช้จ่ายในการทำตลาดและค่ารับรองเอง -รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมเอง -รับผิดชอบสวัสดิการของตนเอง -ได้รับผลตอบแทนเมื่องานสำเร็จตามข้อตกลงเท่านั้น -รับผิดชอบชุดทำงาน/ค่าเดินทางเอง -เมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม |
นอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว ในเรื่องความเสี่ยงด้านรายได้ และหลักประกันในชีวิต ก็ยังมีความแตกต่างระหว่างผู้ประกอบอาชีพอิสระกับพนักงานบริษัทหรือข้าราชการดังนี้
หลักประกัน / ความเสี่ยง | คนกินเงินเดือน /พนักงานบริษัท | ผู้ประกอบอาชีพอิสระ |
-งานที่รับมอบหมายไม่สำเร็จ | -ได้รับเงินเดือนปกติ | -ไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ |
-สวัสดิการค่ารักษา / ประกันชีวิต | -ส่วนใหญ่มีประกันหมู่ให้ | -ไม่มี ต้องจัดหาเอง |
-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ | -บริษัทสมทบ | -ไม่มี |
-ประกันสังคม | -บริษัทถูกบังคับให้จัดหาให้ | -ไม่มี |
-หลักประกันด้านการงาน | -มีกฎหมายแรงงานดูแล / 6-12 เดือน | -ไม่มีเงินชดเชย หากต้องออกจากงาน |
-ความมั่งคงด้านรายได้ | -เงินเดือนเพิ่มทุกปี | -รายได้ไม่แน่นอน มีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองตลอดเวลา |
คนประกอบอาชีพอิสระนี้ ความจริงถือเป็นคนมีศักยภาพ เขาจึงกล้าทิ้งหลักประกัน(จากบริษัท)มาทำงานอิสระ โดยมีความเชื่อว่า ถ้าเขาทุ่มเททำงานหนัก เขาควรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นตามการทุ่มเทของเขา แทนที่รัฐจะสนับสนุนให้พลเมืองของตนขยันขันแข็ง กลับบั่นทอนกำลังใจด้วยการคิดภาษีที่ไม่เป็นธรรม เป็นการทำลายประสิทธิภาพการผลิตของชาติโดยไม่รู้ตัว
ผู้เขียนเชื่อว่า มีความขัดแย้งกันเองในวิธีคิดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของอาชีพอิสระนี้ กล่าวคือ เดิมบอกว่า คนกลุ่มนี้มีลักษณะใช้แรงงานหรือสติปัญญา ไม่มีต้นทุนดำเนินงานมากนัก จึงให้หักค่าใช้จ่ายได้เพียง 100,000 บาท แต่พอมีการนำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมาบังคับใช้ ก็ให้คนในกลุ่มนี้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย เมื่อถามถึงสาเหตุ ก็ได้ความว่า มีลักษณะงานคล้ายการทำธุรกิจ แต่ก็น่าสงสัยว่า ถ้าคล้ายการทำธุรกิจ ทำไมไม่ให้หักค่าใช้จ่ายเหมือนมาตรา 40(8) ผู้มีเงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาที่ไม่มีเพดานหรือตามค่าใช้จ่ายจริงได้
อาจมีเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรแย้งว่า ความจริง ในปัจจุบันทางกรมก็ได้เปิดช่องให้กลุ่มอาชีพอิสระที่ประกอบอาชีพในเชิงธุรกิจให้ยื่นเสียภาษีแบบ 40(8)ได้แล้ว โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง แต่เมื่อไปดูเงื่อนไขในรายละเอียด พบว่า ผู้มีเงินได้นั้นต้องจัดให้มีสำนักงาน มีลูกจ้างประจำ หรือต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงจะเข้าข่ายในการยื่นเสียภาษีตามมาตรา 40(8)
คำถามคือ คนประกอบอาชีพอิสระ อย่างนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นักวิจัยอิสระ ที่ไม่มีลูกจ้างประจำ ไม่มีหน้าร้าน พวกเขายังต้องลงทุนในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ การอบรมสัมมนา หรือแม้แต่การว่าจ้างผู้ช่วยชั่วคราว (เอาท์ซอร์ซ)อยู่หรือไม่ ต้นทุนของพวกเขามีการแปรผันตามรายได้ใช่หรือไม่
หากพวกเรายังไม่ตกผลึกกับความคิดที่ว่า โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไป จนคนที่ประกอบอาชีพอิสระต้องพัฒนาศักยภาพในทุกทางเพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่มีทั้งบุคคลธรรมดาและที่มาในรูปบริษัท คู่แข่งที่มีทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ มันคงยากที่จะเข้าใจและสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้มีเงินได้ที่พยายามเสียภาษีให้ถูกต้อง หากรัฐตระหนักในข้อเท็จจริงนี้ รัฐก็คงจะทราบเองว่าจะคืนความยุติธรรมให้เขาเหล่านั้นได้อย่างไร
โลกปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะทำงานอิสระมากขึ้น คนเหล่านี้กลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ในสังคม พวกเขาเป็นกำลังที่สำคัญของชาติ เต็มไปด้วยความฝันและความมุ่งมั่น รัฐบาลจึงสมควรสนับสนุนเขาเพื่อจะได้พัฒนาไปเป็นผู้ประกอบการใหญ่ในอนาคต และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติโดยรวมในที่สุด
นับเป็นโอกาสที่ดีที่ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้มีนโยบายที่จะปฏิรูประบบภาษีทั้งระบบให้เกิดความเป็นธรรม เพราะหากรัฐสามารถหยิบยื่นความเป็นธรรมให้พวกเขาเหล่านั้นจะได้มีกำลังใจที่จะสร้างเนื้อสร้างตัว ทุ่มเททำงาน ทำให้เกิดผลผลิตมากกว่าที่ผ่านๆมา สุดท้าย กรมสรรพากรก็จะสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้นจากธุรกรรมหรือผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นนี้เอง