- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Friday, 10 March 2017 12:47
- Hits: 6972
อนุสรณ์ ธรรมใจ` คาดจีดีพีปีนี้โต 3.4-3.5% ประเมินเฟดขึ้นดบ.มี.ค.นี้ เตือนกลุ่มอิเล็กฯ - พลาสติกถูกนโยบายการค้าของทรัมป์เล่นงาน
ผศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต คาดการณ์จีดีพีปีนี้โต 3.4-3.5% ประเมินเฟดขึ้นดบ.เร็วขึ้นเป็นมี.ค. จาก มิ.ย. กดดันหุ้นเอเชีย พร้อมนโยบายเศรษฐกิจโดยเฉพาะการค้าของ Trump - Brexit กระทบการกีดกันสินค้าจีน ทำกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ - พลาสติกไทยป่วน
- ประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสี่ ปี พ.ศ. 2559 (ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะเผยแพร่ตัวเลขในวันที่ 20 ก.พ. 2560) โดยมองว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีไตรมาสสี่ปี 2559 ขยายตัวได้ที่ระดับ 2.7-2.8% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
- คงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปี 2559 ไว้ที่ระดับ 3.2% เช่นเดิม และ คาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี พ.ศ. 2560 ว่าจะเติบโตได้ที่ระดับ 3.4-3.5%
- แม้จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ต่อเนื่องมาจากปลายปีที่แล้วก็ตาม เนื่องจาก ภาคการบริโภคกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตมาสสี่ ภาคการลงทุนฟื้นตัวชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนภาคส่งออกไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นมากนัก สินค้าอิเลคทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ส่งออกของไทยเป็นการส่งสินค้าขั้นกลางไปจีนในสัดส่วนสูงและจะได้รับผลกระทบการกีดกันสินค้าของสหรัฐฯเนื่องจากอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกัน ผลิตภัณฑ์พลาสติก เม็ดพลาสติกผลิตของเล่น จะกระทบอย่างหนักเนื่องจากไทยส่งสินค้าขั้นกลางไปจีนในสัดส่วนสูงสุดและจะได้รับผลกระทบการกีดกันสินค้าเนื่องจากอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกัน 25% ของการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทยไปที่จีน ไทยจึงควรหาตลาดใหม่มาทดแทนจีน หรือ เชิญชวนให้ผู้ผลิตสินค้าขั้นปลายย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยหรืออาเซียน สินค้าส่วนใหญ่ที่กระทบเป็นสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทขนาดใหญ่และเครือข่ายการผลิตบรรษัทข้ามชาติ มีผลกระทบต่อ SMEs ไม่มาก
- ภาคท่องเที่ยวยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ในระยะสั้น ต้องทำให้ ภาคบริโภคฟื้นตัวเต็มที่เนื่องจากภาคบริโภคของเอกชนคิดเป็น 51% ของการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ
- ภาคการลงทุนเอกชนคิดเป็น 19% ของการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ส่วนการลงทุนภาครัฐคิดเป็น 6% ของการใช้จ่ายระบบเศรษฐกิจเท่านั้นเอง แม้นรัฐบาลจะเร่งรัดการใช้จ่ายอย่างไรก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ระดับหนึ่งเท่านั้น หากไม่บริหารจัดการเงินคงคลังเงินไหลเข้า (ภาษีและรายได้อื่นๆ) และ เงินไหลออก (เงินใช้จ่ายออกเพื่อลงทุนหรือบริโภคของภาครัฐ) ก็อาจมีปัญหาสภาพคล่องได้ แต่จะไม่ถังแตกเพราะฐานะทางการคลังโดยรวมยังคงมั่นคงดี ในระยะยาวแล้ว หากต้องการเพิ่มศักยภาพการเติบโตต้องมุ่งไปที่การสร้าผลิตภาพด้วยนวัตกรรม การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการบูรณาการความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
- กฎหมายใหม่ เช่น พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ และ พ.ร.บ. ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันจะเป็นเครื่องมือในการทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้นในระยะปานกลางและระยะยาว รวมทั้งจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ภาคส่งออกที่หดตัวต่อเนื่องมาหลายปีได้เปลี่ยนทิศทางดีขึ้นในระยะต่อไป ขณะที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจการลงทุนอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว
- การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 10 ปีจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมผ่านตลาดตราสารหนี้ไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตาม นักลงทุนและนักธุรกิจทั่วโลกต้องรับมือกับต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวที่สูงขึ้น และมีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม คือ ปรับเพิ่มในเดือนมีนาคมแทนที่จะเป็นเดือนมิถุนายน ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียอาจมีการปรับฐานลงได้จากเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นกลับสหรัฐอเมริกาและพักเงินไว้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า (เช่น ตราสารหนี้ ดอลลาร์สหรัฐฯ และ ทองคำ) เงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าอีกรอบหนึ่งและเงินบาทอ่อนค่าลง หากไม่มีแรงกดดันด้านเงินไหลออกและเงินเฟ้อมากเกินไป คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.5% ตลอดทั้งปีได้
- ทิศทางราคาน้ำมันในไตรมาสแรกน่าจะอยู่ที่ 53-54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันอาจปรับขึ้นไปแตะรับสูงสุดในช่วงกลางปีที่ระดับ 62-63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก OPEC บรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน และ กลุ่ม Non-OPEC ก็จะลดกำลังการผลิตด้วย โดยปีนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ EIA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะเติบโตเพิ่มขึ้น 1.6% โดยภูมิภาคเอเชียขยายตัวสูงสุดที่ 3.6% แต่ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะไม่ขึ้นไปสูงมากและช่วงครึ่งปีหลังราคามีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปัจจัยทางด้านอุปทาน มีอุปทานน้ำมันล้นตลาดอยู่ 4.2 แสนบาร์เรลต่อวัน (อุปสงค์อยู่ที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน อุปทานอยู่ที่ 9.74 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และรัฐบาลสหรัฐฯภายใต้ Donald Trump ยังมีนโยบายสนับสนุนการผลิตในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันฟอสซิลมากเป็นพิเศษ
- ผลกระทบกรณี Brexit ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2559 ว่า ผลต่อตลาดการเงินมีจำกัดและไม่น่าส่งผลอะไรมากมายเพราะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่ขอให้จับตาผลกระทบต่อภาคการค้าและภาคเศรษฐกิจจริงและดุลยภาพความสันพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่เปลี่ยนไปโดย สหราชอาณาจักรจะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่ใกล้ชิดมากขึ้นกับสหรัฐอเมริกา ขณะที่ ธุรกิจอุตสาหกรรมบางส่วนโดยเฉพาะภาคการเงินจะย้ายฐานไปยังอียูมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคการเงินที่เปราะบางของอิตาลีและปัญหาวิกฤติหนี้สินของกรีซอาจนำไปสู่ชนวนของวิกฤติรอบใหม่ในอียูได้ โดยแผนการเพิ่มทุนของธนาคาร Monte Dei Paschi ของอิตาลีอาจประสบปัญหา สร้างแรงกดดันให้อิตาลีอาจต้องเข้าสู่โครงการช่วยเหลือ (bail-out) ของ EU และ IMF ผลการเลือกตั้งที่ทะยอยเกิดขึ้นในช่วงต่อไป ทั้งในฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลีและเนเธอร์แลนด์ จะเป็นตัวกำหนดว่า EU และ ระบบค่าเงินยูโรจะล่มสลายหรือดำเนินการต่อไปได้อย่างไร
- ค่อนข้างชัดเจนว่า ทีมเศรษฐกิจทางด้านการค้าของประธานาธิบดี Donald Trump ไม่ว่าจะเป็น Wibur Ross รัฐมนตรีพาณิชย์ Dan DiMicco ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ Peter Navarro ผู้อำนวยการ National Trade Committee และที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ Gary Cohn ผู้อำนวยการ National Economic Council ล้วนเป็นพวกที่ไม่เชื่อมั่นในข้อตกลงทางการค้าเสรีที่สหรัฐอเมริกาทำอยู่กับหลายประเทศ โดยมองว่า ข้อตกลงการค้า FTA ทำให้กระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ การจ้างงานและทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้าอย่างหนัก มีแนวโน้มที่จะทบทวน FTA ต่างๆที่สหรัฐฯทำกับประเทศต่างๆ แต่ไม่น่าจะเป็นการใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีโดยทั่วไปแบบสุดโต่งตามนโยบายหาเสียง จะมีลักษณะเป็นมาตรการตอบโต้การค้ารายประเทศรายสินค้ามากกว่า เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) มาตรการลงโทษรายสินค้า เป็นต้น โดยประเทศเป้าหมายที่ถูกกีดกันอันดับต้น คือ จีนและเม็กซิโก เตือนรับมือผลกระทบการกีดกันสินค้าของสหรัฐฯต่อสินค้าจีนที่ส่งผลต่อภาคส่งออกไทย โดยเฉพาะสินค้าส่งออกประเภทอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์พลาสติกจะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษเนื่องจากสินค้าส่งออกไทยเป็นห่วงโซ่อุปทานการผลิตที่เชื่อมโยงกับจีน สัดส่วนส่งออกสินค้าขั้นกลางประเภทดังกล่าวของไทยเข้าจีนเพื่อผลิตสินค้าขั้นปลายสูงมาก รัฐบาลควรให้น้ำหนักการเพิ่มความร่วมมือกับจีนและมีโอกาสที่กลุ่มทุนจีนอาจย้ายฐานการผลิตขั้นปลายมาไทยมากขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงการกีดกันการค้าจากสหรัฐอเมริกา
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย