- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Thursday, 24 November 2016 19:07
- Hits: 13990
เศรษฐกิจและการส่งออกของไทยปี 2560
โดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
เศรษฐกิจไทยปี 2560 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2559 โดยล่าสุด สศค. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2560 จะขยายตัว 3.4% เพิ่มขึ้นจาก 3.3% ในปี 2559 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ดังนี้
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ | ประมาณการ ปี 2559 | ประมาณการ ปี 2560 |
GDP | 3.3% | 3.4% |
มูลค่าส่งออก | -0.5% | 1.8% |
การบริโภคภาคเอกชน | 2.1% | 3.2% |
การลงทุนภาคเอกชน | 1.6% | 1.7% |
การลงทุนภาครัฐ | 10.7% | 6.2% |
อัตราแลกเปลี่ยน | 35.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ | 35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
ที่มา : สศค., EIU
- Mega Projects ของภาครัฐเป็น Key Driver สำคัญที่จะกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนตามการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐหลายโครงการเริ่มก่อสร้างในปี 2560 อาทิ Motorway รถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟฟ้ารางคู่ เป็นต้น ปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวก (Crowding In Effect) ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยในระยะสั้นจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด อาทิ รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นต้น ขณะที่ในระยะถัดไปการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กลับมาลงทุนมากขึ้น
- ราคาสินค้าเกษตรเริ่มปรับฐานขึ้น โดยเฉพาะราคายางพารา อ้อย และผลไม้ที่มีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้เกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และหนุนให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ผันผวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกรในระยะถัดไป
- โครงการรถคันแรกครบอายุถือครอง โครงการรถยนต์คันแรกที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งกำหนดให้ผู้ซื้อต้องถือครองรถยนต์ 5 ปีนับจากวันรับรถจึงจะได้สิทธิ์คืนภาษี ได้ทยอยหมดอายุลงตั้งแต่ปลายปี 2559 ทำให้ผู้ซื้อรถสามารถขายเปลี่ยนมือ หรือซื้อรถยนต์คันใหม่ได้ ปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินจำนวนหนึ่งที่ผู้ซื้อเคยใช้ผ่อนรถจะถูกนำมาใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคด้านอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนได้อีกทางหนึ่ง
การท่องเที่ยวยังมีความสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม ล่าสุดหลายฝ่ายคาดว่า
ในปี 2560 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาท่องเที่ยวในไทยกว่า 37 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 33 ล้านคนในปี 2559 โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่ยังขยายตัวสูง แม้จะชะลอลงบ้างในระยะสั้นจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ
- ตลาดสินเชื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบยังมีอยู่อีกมาก สะท้อนจาก L/D Ratio ในไตรมาส 3 ปี 2559 อยู่ที่ 96.9% ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการสนับสนุนการฟื้นตัวของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อครัวเรือนในระยะถัดไป
สำหรับในส่วนของ การส่งออกปี 2560 น่าจะดีขึ้นจากปี 2559 และมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลับมาขยายตัวได้ครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก
- ราคาน้ำมันฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด หลังจากปี 2559 เผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกินอย่างมากภายหลังหลายประเทศกลับมาเพิ่มกำลังการผลิต โดยเฉพาะอิหร่านและอิรัก อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มคลี่คลายลงมากหลังจากการผลิต Shale Oil ในสหรัฐฯ ชะลอลง ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในระยะถัดไปเพิ่มขึ้น ล่าสุด IMF คาดการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยปี 2560 ที่ 50.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 43 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2559 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์และยางพารา ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 13% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย
- การส่งออกไปตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะ CLMV และ New Frontiers ยังไปได้ต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จาก
- CLMV เป็นกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกที่ราว 7-8% ขณะที่สัดส่วนการส่งออกของไทยไป CLMV (ราว 10% ของมูลค่าส่งออกรวม) ขยับแซงหน้าตลาด EU และญี่ปุ่นแล้ว โดยสินค้าส่งออกของไทยที่มีศักยภาพในตลาด CLMV อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุก่อสร้าง
- New Frontiers เป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยมูลค่าส่งออกของไทยไป New Frontiers ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาขยายตัวเฉลี่ยราว
- ฐานมูลค่าส่งออกปี 2559 อยู่ในระดับต่ำ นับตั้งแต่ปี 2556 มูลค่าส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่อง แม้ว่ามูลค่าส่งออกปี 2559 มีแนวโน้มขยายตัว 0% หรืออาจพลิกกลับมาเป็นบวกเล็กน้อย แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้การส่งออกปี 2560 กลับมาขยายตัวได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่น่ากังวลสำหรับการส่งออกในปี 2560 ดังนี้
- นโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยทั้งแง่บวกและแง่ลบ
+ การยกเลิกข้อตกลง TPP ช่วยปิดจุดอ่อนข้อเสียเปรียบของไทยจากการได้แต้มต่อทางภาษีของหลายประเทศคู่แข่งสำคัญที่อยู่ใน TPP โดยเฉพาะเวียดนามที่เป็นคู่แข่งของไทยในหลายสินค้า อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า อาหารทะเลกระป๋อง เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
+/- การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จะเป็น โอกาส โดยสินค้าส่งออกของไทยที่เคยเป็นคู่แข่งกับจีนในตลาดสหรัฐฯ อาจแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกลับมาได้บางส่วน อาทิ ยางล้อรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบของไทยไปจีนเพื่อผลิตและส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ อาทิ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
- Brexit ที่ยังมีความไม่แน่นอน ว่ากระบวนดังกล่าวจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ประกอบกับการแยกตัวจะออกมาในรูปแบบใด ทั้งนี้ หลายฝ่ายคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการแยกตัวแบบ Soft Brexit (UK ยังได้รับสิทธิ์ด้านภาษีในการเข้า Single Market ของยุโรปได้เหมือนเดิม) ซึ่งหากเป็นกรณีนี้ก็อาจกระทบต่อการส่งออกของไทยไปตลาด EU และ UK ไม่มากนัก
- ปัญหาหนี้ภาคเอกชนและภาคการผลิตส่วนเกินในจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหนักอาทิ เหล็กและถ่านหิน ปัจจัยดังกล่าวยังฉุดรั้งให้เศรษฐกิจจีนชะลอลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือทางการเงินและการคลังที่หลากหลายของรัฐบาลจีน ทำให้แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงแต่อยู่ในลักษณะ Soft Landing ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2560 จะขยายตัว 6.2% ชะลอลงจาก 6.6% ในปี 2559 ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนในปี 2560 ยังมีทิศทางไม่แน่นอน
- อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากขึ้น จากการใช้นโยบายการเงินที่สวนทางกันของประเทศมหาอำนาจ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น EU และจีนยังใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ต้องจับตามองกระแส Nationalism ว่าจะส่งผลต่อการเลือกตั้งในเยอรมนีและฝรั่งเศสซึ่งจะมีขึ้นในปี 2560 มากเพียงใด ซึ่งหากมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองจะสร้างความผันผวนต่อตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระยะ ซึ่งผู้ส่งออกไทยจึงควรเตรียมเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงให้พร้อม