- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Saturday, 28 June 2014 20:51
- Hits: 3466
ประเทศเพิ่งผ่านวิกฤติครั้งใหญ่ สมคิดแนะ 4 บริบทดันยั่งยืน ธปท.ปรับจีดีพี 58 โต 5.5%
ไทยโพสต์ * 'สมคิด'แนะ 4 บริบทใหม่ นำพาเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งยั่งยืน ด้านเอกชนแนะ คสช.ปลดล็อกระบบราชการ เร่งหาวิธีปราบคอร์รัปชัน ชม คสช.เดินมาถูกทาง หยุดความขัดแย้งในประเทศ ธปท.ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีปี 2558 โต 5.5% จากเดิม 4.8% หลังการเมืองเปลี่ยน มองครึ่งปีนี้โตได้ 3.4% จากหลายปัจจัยที่เริ่มฟื้น
นายสมคิด จตุศรีพิทักษ์ ประธานกรรมการ บมจ.สหพัฒนา อินเตอร์โฮลดิ้ง ในเครือสหกรุ๊ป เปิดเผยในงานเสวนาเรื่อง "บริ บทใหม่ ธุรกิจไทยก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน" ว่า ประเทศไทยตอนนี้อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผันที่เพิ่งจะผ่านวิกฤติครั้งยิ่งใหญ่ มาอยู่ในช่วงของการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อสร้างอนาคตที่สดใส และแม้จะมีมรสุมที่ยังค้างคาอยู่บ้าง แต่เริ่มเห็นความสดใสที่มากขึ้นกว่าเดิม ขึ้นอยู่กับคนไทยว่าจะสามารถมีความสามัคคีและรวมพลังกันให้ไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่
"ในตอนนี้ ดัชนีความเชื่อ มั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 14 เดือน ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในเอเชียก็สูงสุดเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อความเชื่อมั่นของคนเราเริ่มกลับมา รวมถึงนักธุรกิจเริ่มมีความมั่น ใจในการลงทุนมากขึ้น ย่อมจะส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจดีขึ้นได้ในไม่ช้า แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะไม่ดีนัก แต่ครึ่งปีหลังน่าจะดี" นายสมคิด กล่าว
สำหรับ การจะทำให้เศรษฐ กิจไทยขับเคลื่อนได้ อยากให้มี 4 บริบท คือ 1.ต้องเน้นสร้างรากฐานที่แข็งแรงได้ไปจนถึงอนาคตไม่ใช่แค่เพียงระยะสั้น โดยไม่ใช่การมุ่งเน้นการเติบโตแต่จีพีดีเท่านั้น 2. ลดการใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูก มาสู่การสร้างทรัพยากรที่มีคุณภาพ สามารถสร้างมูลค่าให้ แก่ประเทศชาติได้ 3.ประเทศไทย ต้องพร้อมรับมือการแข่งขันรูปแบบใหม่ เพราะคู่แข่งขันเป็นระดับ โลก 4.เน้นเรื่องของความถูกต้อง ซื่อสัตย์ โปร่งใส ศีลธรรม และที่สำคัญคือต้องมีธรรมาภิบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถปฏิบัติได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอการจัดตั้งรัฐบาล และจะทำให้ธุรกิจแข็งแรงจากภายในในการสร้างศักยภาพให้ตัวเอง
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คงต้องมีการปลดล็อกในระบบราชการ เนื่องจากมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่มีปัญหา บางที่การบริหารราชการแบ่งเป็นหลายหน่วยงาน ซึ่งที่จริงการทำงานสามารถบูรณาการ กันได้และทำงานร่วมกันได้ ขณะที่การทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มองว่าดำเนินมาถูกทางแล้ว แต่จะสร้างให้เกิดความมั่นคง คงต้องมีแนวทางสร้างนโยบายที่จะทำให้ประเทศออกมายั่งยืน ซึ่งคงต้องใช้เวลาที่โรดแม็พจะออกมา เพราะต้องฟังจากหลายภาคส่วน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประ ธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประ เทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัญหา เศรษฐกิจแน่นอนว่าต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาภายหลังจากเศรษฐกิจดีคือ การเกิดปัญหาคอร์รัปชัน ต้องมีการแก้ปัญหาให้ตรงจุด มองว่าระบบข้าราชการในขณะนี้เป็นอย่างไร โดยส่วนตัวอยากจะขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ และลดข้าราชการบางส่วนออกไปสัก 30% ซึ่งราชการที่ถูกปลดออก อาจหันมาประกอบธุรกิจส่วนตัวหรือเอสเอ็มอี เพราะตอนนี้ก็มีหลายธนาคารที่รองรับ
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การที่มี คสช.เข้ามาบริ หารประเทศ แล้วพบว่าประชา ชนค่อนข้างถูกใจกว่าการเกิดรัฐประหารในครั้งก่อน เพราะครั้งนี้สามารถหยุดความขัดแย้งไม่ให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นให้มากกว่าเดิมได้ การปราบคอร์รัป ชันในมุมมองส่วนตัวส่วนที่โกงกันไปไม่ใช่ความเสียหายใหญ่ แต่ระบบต่างหากที่อ่อนแอ นำคนที่ไม่มีความสามารถเข้ามา บริหาร ระบบทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า แต่ถ้าเราสามารถเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ก็จะพัฒนาได้
ด้าน นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ปรับเพิ่มประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2558 เติบโต 5.5% จากเดิมคาดว่าจะโต 4.8% มาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นโยบายภาครัฐมีความชัดเจนขึ้น และเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
สำหรับ ปี 2557 ประมาณการจีดีพีทั้งปีจะโต 1.5% โดยมองว่าช่วงครึ่งปีหลังจีดีพีจะเติบโตได้ 3.4% จากการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัว มีความพร้อมที่จะลงทุน และคาดว่าขยายตัวต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ส่วนภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย อีกทั้งมีแรงกระตุ้นด้านการคลังที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงภาคการส่งออกสินค้าคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ การลงทุนในโครง สร้างพื้นฐานในปี 2558 คาดว่าจะอยู่ที่ 76,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 46,000 ล้าน บาท จากปี 2557 อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท โดยคาดว่าอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 อยู่ที่ 93% และปี 2558 อยู่ที่ 93.5%
นอกจากนี้ ธปท.ยังปรับลดเป้าส่งออกปีนี้เหลือโต 3% จากเดิมที่คาดไว้ 4.5% และปีหน้าคาดว่าจะเติบโตที่ 6% ดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้คาดว่าจะเกินดุล 11,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนปี 2558 จะเกินดุล 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ 2.6% จากเดิมที่คาด 2.5% และจะปรับลดลงในปี 2558 มาอยู่ที่ 2.5% เงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้จะอยู่ที่ 1.7% จากเดิม 1.5% และลดลงในปีหน้าอยู่ที่ 1.4%.
‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’มองจีดีพีปีนี้โตเกิน 2% หากมี ครม. ที่เน้นนโยบายรากหญ้า-ส่งออก-ท่องเที่ยว-ใช้งบฯ มีประสิทธิภาพ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของไทยในปีนี้ จะเติบโตได้เกิน 2% หากมีคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ และผลักดันนโยบายที่สนับสนุนตั้งแต่ภาครากหญ้า การส่งออก ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญของประเทศไทย รวมไปถึงการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
"จีดีพีที่แบงก์ชาติมองที่ 1.5% นั้น แม้ไม่ต้องมีการจัดตั้ง ครม.ก็สามารถทำได้ เพราะตอนนี้ความเชื่อมั่นต่างๆ กลับมาแล้ว ตัวเลขความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือน มิ.ย.ดีสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งถ้า ครม.ที่จะจัดตั้งมีทีมที่ทรงคุณภาพ บริหารงานอย่างจริงจังและโปร่งใส และเน้นนโยบายที่ Support รากหญ้า ส่งออก ท่องเที่ยว และผลักดันใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพแล้ว จีดีพีเราโตได้เกิน 2% แน่ๆ ที่สำคัญนโยบายต่างๆ ต้องคำนึงถึงการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต เช่นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาคน และขจัดการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง"นายสมคิด กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สมคิด เห็นช่องกระตุ้นศก.ปีนี้โตได้สูงกว่า 2% แนะ 4 นโยบายสร้างความยั่งยืน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ด้านต่างประเทศ กล่าวในงานสัมมนา"บริบทใหม่เศรษฐกิจไทยก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน"ว่า ประเทศไทยยังอยู่ระหว่างในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง โดยขณะนี้ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ชัดเจนขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีการประกาศออกมาสูงสุดในรอบ 14 เดือน และความเชื่อมั่นธุรกิจในเอเชียสูงสุดในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่ปี 55 สาเหตุหลักมาจากความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมามากขึ้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แม้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกจะปรับตัวลดลง แต่ยังมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังนี้จะฟื้นตัวดีขึ้น
ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของประเทศไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 1.5% มองว่ายังมีอีกหลายช่องทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ หากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่จะจัดตั้งขึ้นมามีคุณภาพ สามารถสร้างความเชื่อมั่น และมีการผลักดันนโยบายที่สนับสนุนตั้งแต่ระดับภาครากหญ้า ภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และพยายามขับเคลื่อนการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ก็คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะสามารถขยายตัวได้มากกว่า 2% และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศมีการเติบโตไปได้ในอนาคต แต่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เพียงแต่จะเน้นไปที่การเติบโตทางจีดีพีเท่านั้น
สำหรับ แนวนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนนั้นต้องประกอบด้วย 1.ต้องมีบริบทใหม่ที่เน้นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรากฐานของระบบการศึกษาว่าควรจะทำอย่างไรให้มีระบบที่ดีขึ้น ทำอย่างไรให้ประชาชนมีสวัสดิการที่ดีขึ้น และทำอย่างไรให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น 2.ภาคเอกชนควรมีการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสามารถในการผลิตและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม 3.ภาคเอกชนต้องมีการปรับตัวรับมือกับการแข่งขันรูปแบบใหม่ เช่น รูปแบบการขายที่มีหลากหลายช่องทาง และ 4.เน้นความถูกต้อง ความซื้อสัตย์ โปร่งใส และศีลธรรมจรรยาบรรณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
"สิ่งเหล่านี้เราสามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องรอ คสช.ซึ่งบริบทใหม่ที่มีความเข้มแข็ง เราจะเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วโลก" นายสมคิด กล่าว
'ณรงค์ชัย'มั่นใจปี 58 เศรษฐกิจดี
บ้านเมือง : นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะกรรมการนโยบายการเงิน เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกจะติดลบ 0.5% แต่จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้มากกว่า 3% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโต 1.5% แต่การขยายตัวในครึ่งปีหลังจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแผนงานของ คสช.ในช่วง 3 เดือน และ 6 เดือนข้างหน้านี้
ดังนั้น ระยะต่อไปยังต้องติดตามแผนโรดแม็พของ คสช. โดยเฉพาะการปลดล็อกการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รวมถึงการบริโภคภายในประเทศ เพราะหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงถึง 80% รวมถึงการลงทุนภาครัฐที่ยังต้องได้รับการตรวจสอบแต่ละโครงการ หากไม่มีความโปร่งใสอาจต้องตัดบางโครงการออกไป ซึ่งจะทำให้ผลต่อเศรษฐกิจในปีนี้มีน้อยกว่า แต่จะไปส่งผลเต็มที่ต่อเศรษฐกิจในปี 2558 ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าทรงตัวในระดับต่ำประมาณ 2% จนถึงสิ้นปีนี้
"ขณะนี้ คสช.กำลังวางรากฐานในหลายด้าน ทั้งการส่งเสริมการค้า การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจปี 2558 อย่างเต็มที่"
ส่วน กรณีที่สหภาพยุโรปจะไม่ส่งคณะมาเยือนไทย มองว่า ระยะสั้นทำให้ไทยเสียหน้า เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของรูปแบบการปกครอง แต่จะไม่กระทบกับการส่งออก เนื่องจากการค้าของสหภาพยุโรปกับไทยมีเพียง 9% เท่านั้น ดังนั้น หาก คสช.มีแผนโรดแม็พที่ชัดเจน ทั้งการนำประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตย และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และปัญหาแรงงาน เชื่อว่าทั้งยุโรปและอเมริกาจะกลับมาเชื่อมั่นไทยเช่นเดิม โดยมองว่า การส่งออกของไทยปีนี้จะเติบโตได้ 2%