- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Wednesday, 07 May 2014 21:26
- Hits: 4041
บล.ภัทร มองตั้งรัฐบาลไม่ทันปีนี้ กดจีดีพีโตแค่ 1.1% จากเดิมคาด 2% - ให้เป้าหมาย SET Index ที่ 1,320 จุด
บล.ภัทร หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือโต 1.1% จากเดิมคาดโต 2% มองเลือกตั้งไม่สำเร็จ และตั้งรัฐบาลไม่ทันปีนี้ หลังศาล รธน. ตัดสิน นายกฯ - ครม.บางส่วนพ้นจากตำแหน่ง พร้อมประเมิน SET Index หลังจากนี้ยังผันผวน ให้เป้าหมายดัชนีฯที่ 1,320 จุด เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และความเสี่ยงทางการเมือง ขณะที่กังวลต่ออายุลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 20% - คง VAT ที่ 7% สะดุด หากไม่มีรัฐบาล กดกำลังซื้อในประเทศและความสามารถการทำกำไรของภาคเอกชน
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้มีการปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีของไทยในปีนี้ลงเหลือ 1.1% จากเดิมที่คาดว่าจะโตในระดับ 2% ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คนพ้นจากตำแหน่ง ในกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่ฝ่ายวิจัยฯ ได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว โดยหลังจากนี้แม้ว่าจะมีการเดินหน้าเพื่อจัดการเลือกตั้งในวันที่ 20 ก.ค. นี้ แต่ประเมินว่าโอกาสสำเร็จเป็นไปได้ยาก ทำให้ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในปีนี้ ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจ จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาภาคการส่งออกเพียงอย่างเดียว โดยคาดว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะโต 3-3.5% ขึ้นอยู่กับปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะสามารถรักษาค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับอ่อนค่าที่ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์ได้ เพื่อเป็นตัวสนับสนุนความสามารถในการส่งออก ขณะที่จะไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก เนื่องจากไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
"หลังการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ จะทำให้การเติบโตของจีดีพีลดลงเหลือเพียง 1.1% เท่านั้น เพราะจะไม่มีนโยบายทางการคลังมาช่วยเหลือการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เลย เนื่องจากเรามองว่าจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในปีนี้ แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เพราะทาง กปปส. ยังคงคัดค้านการเลือกตั้ง และพรรคประชาธิปัตย์เอง มีแนวโน้มที่จะบอยคอตการเลือกตั้ง ทำให้ประเทศต้องพึ่งพาเพียงการส่งออกเท่านั้น ดังนั้นทางเดียวที่พอจะทำได้ คือการทำให้เงินบาทยังคงอ่อนค่าเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันที่ดีมากขึ้น"ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
พร้อมกันนี้ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ SET INDEX ปีนี้ที่ระดับ 1,320 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและความเสี่ยงทางด้านการเมืองในปัจจุบัน โดยประเมินภาวะตลาดในช่วงหลังจากนี้จะมีความผันผวนมากขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่คาดว่าจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันในภายในปีนี้
ในขณะที่บริษัทฯอยู่ในระหว่างปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ลงในปีนี้ ซึ่งจะเห็นตัวเลขที่ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน
"ตลาดหุ้นหลังจากนี้จะมีความผันผวนมาก ซึ่งจะมีทั้งแรงเทขายจากความเสี่ยงทางการเมืองและแรงเก็งกำไรจากนักลงทุนบางส่วน ซึ่งระดับดัชนีที่เหมาะสมซึ่งสามารถสะท้อนปัจจัยพื้นฐานและความเสี่ยงทางการเมืองได้จะอยู่ที่ 1,320 จุด" ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวด้วยว่า ฝ่ายวิจัยฯ มีความกังวลว่าการที่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันภายในปีนี้ จะส่งผลกระทบต่อการต่ออายุมาตรการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 20% จาก 30% และการคงอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ 7% ซึ่งหากไม่สามารถต่ออายุได้สำเร็จ จะทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ ในขณะที่ภาษีนิติบุคคลที่ปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคเอกชน
"เรากังวลว่าการออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อขอต่ออายุการลดภาษีนิติบุคคลและการตรึงภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่สามารถกระทำได้ เพราะต้องผ่านการเห็นชอบจาก กกต. ซึ่งถ้าหากไม่สามารถต่ออายุได้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลการดำเนินงานของบริษัทเอกชน และกำลังซื้อของคนในประเทศ"ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย