- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Saturday, 25 July 2015 21:00
- Hits: 3921
นักเศรษฐศาสตร์เตือนใช้นโยบายบาทอ่อนมีความเสี่ยง แนะปล่อยตามกลไก-พื้นฐาน
น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิจัยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)กล่าวในการสัมมนา"เศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าอย่างไร"ว่า ขณะนี้ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 5 ส.ค.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งจากระดับ 1.50% โดยตลาดส่วนใหญ่ตีความจาการรับรู้ข่าวสารในช่วงที่ผ่านมาว่าประเทศไทยต้องการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนเพิ่มขึ้น
"ต่างชาติเริ่มรับรู้สัญญาณและตีความว่าเราต้องการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนมากขึ้น จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 2 ครั้งที่ผ่านมา ส่งผลให้ค่าเงินบาทล่าสุด (21 ก.ค.) อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 34.50 บาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงเทขายทำกำไรของตลาดต่างประเทศ"น.ส.อุสรา กล่าว
น.ส. อุสรา กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายการเงินแบบอ่อนค่านั้นสามารถทำได้ แต่ต้องมั่นใจว่าจะควบคุมนโยบายในลักษณะนี้ให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องที่ไทยจะใช้เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงิน เพราะจะมีความเสี่ยงในเรื่องต้นทุน และความสามารถของไทยในการควบคุมสถานการณ์ดังกล่าว หรืออาจจะถูกผู้เล่นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนควบคุมได้
แม้ว่าในมุมของไทยจะมีสภาพคล่องในระดับสูง จากทุนสำรองระหว่างประเทศที่ 1.9 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่หนี้ต่างประเทศอยู่ที่ 1.4 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเพียงพอต่อการดูแลปัจจัยพื้นฐานของประเทศ แต่อาจไม่มากพอที่จะต่อสู้กับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น มองว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการดำเนินนโยบายการเงินในขณะนี้ คือการปล่อยให้สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานและกลไกตลาด อย่าดึงความสนใจของตลาดมาที่เรา เพราะเชื่อว่าในระยะต่อไป 5-10 ปีเงินบาทก็จะอ่อนค่าลงอยู่แล้ว จากการขยายตัวในการลงทุนของภาคเอกชนที่ทำให้เกิดการนำเข้าเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพิ่มในทุกส่วนในระยะยาว
อย่างไรก็ดี เชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานของประเทศที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโต แม้ในช่วงนี้จะมีความเสี่ยงจากการขาดเสถียรภาพทางการเมืองในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลายดีขึ้น และในอนาคตหวังว่าภาครัฐจะใช้สินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจ 5 ล้านล้านบาทในการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก มองว่า โอกาสในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต อาจมาได้จาก 4 ปัจจัย ดังนี้ คือ 1.จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง 2.การลงทุนและเงินทุนที่ไหลเข้าสู่เอเชียตะวันออกมากขึ้น 3.ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและการเปิดเสรีการค้าที่มากขึ้น และ 4.การเพิ่มจำนวนของกุล่มชนชั้นกลาง(โดยเฉพาะในจีน) ที่จะทำให้มีอำนาจซื้อมากขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวต่ำกว่าเป้าจึงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2-3% ในปีนี้ พร้อมมองว่าแม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่เศรษฐกิจของอินเดียกลับเร่งตัวขึ้น ซึ่งถือว่าอินเดียจะเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญ เพราะได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันและมีการปฏิรูปนโยบายด้านการค้า ซึ่งอินเดียเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจจะเข้าไปทำการค้าการลงทุน ดังนั้นผู้ประกอบการควรเริ่มศึกษาลู่ทางเพื่อจะช่วยสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ยังมีความท้าทายสำหรับประเทศไทยที่ต้องเผชิญ คือ 1.การขยายตัวที่ช้าลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลต่อการค้าของไทยที่ทำให้มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถเติบโตได้มากเท่าในอดีต 2.การชะลอตัวและการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจ 3.ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดต่ำลง เช่น ข้าว และยางพารา 4.อัตราดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้นตามหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ 5.การแข่งงขันจากประเทศในเอเชียตะวันออก และ 6.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย
อินโฟเควสท์