มติชนออนไลน์ : รายงานข่าวจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า เมื่อ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือบริษัท Rating and Investment Information, Inc. (R&I) หรือ อาร์แอนด์ไอ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Issuer Rating) ไว้ที่ระดับ BBB+ และสกุลเงินบาท (Domestic Currency Issuer Rating) ที่ระดับ A- นอกจากนี้ยังคงสถานะมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็นลบ (Negative Outlook) รวมถึงยังยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของหนี้รัฐบาลระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศที่ระดับ a-2
สำหรับ การยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือไทยในครั้งนี้ อาร์แอนด์ไอ ได้ให้เหตุผลไว้ 4 ประการ คือ 1.ระบบการเมืองของไทยได้เข้าสู่เสถียรภาพนับตั้งแต่กองทัพได้เข้ามา บริหารประเทศเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 แต่ อาร์แอนด์ไอ เห็นว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ การบริหารการคลังอย่างระมัดระวังได้จำกัดความเสี่ยงที่ฐานะทางการคลังจะเกิดความถดถอยอย่างรุนแรง ทั้งนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ไปพร้อมกับการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศที่ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้
2.อาร์แอนด์ไอยังคงติดตามประเด็นเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลพลเรือนที่จะจัดตั้งในปี2559มาตรการที่รัฐบาลปัจจุบันดำเนินการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของรายได้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอาจไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคของรัฐบาลพลเรือนดังนั้นอาร์แอนด์ไอจึงยังคงมุมมองความน่าเชื่อถือเป็นลบ และจะให้ความสนใจกับนโยบายเศรษฐกิจและการคลัง รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการติดตามผลของการปฏิรูปทางการเมืองที่จะนำไปสู่เสถียรภาพทางการเมืองได้หรือไม่
3.การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงปี2557ลดลงต่ำกว่า 1% โดยอาร์แอนด์ไอ คาดว่า ในปี 2558 อุปสงค์ภายในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกยังคงชะลอตัว โดยรัฐบาลได้ประมาณการว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงจะขยายตัวที่ 3.9%′ในปี 2558 ดุลการค้าที่ปรับตัวดีขึ้นน่าจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในปี 2557 โดยอาร์แอนด์ไอ คาดว่า ประเทศไทยจะยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้ ในอนาคต สัดส่วนหนี้ต่างประเทศรวมต่อจีดีพี ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 40% และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 2 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
4.รัฐบาลจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลที่ 2.0% ของจีดีพี และ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 หนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ 45.8% ของจีดีพี โดยกระทรวงการคลังประมาณการว่าระดับหนี้สาธารณะ ในอนาคตจะไม่เกิน 50% ของจีดีพี และ อาร์แอนด์ไอ ไม่กังวลในประเด็นหนี้สาธารณะ ต่อจีดีพี ที่อาจปรับสูงกว่า 50% ได้ หากเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม จากการที่รัฐบาลปัจจุบันได้เร่งรัด การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณมีความรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งอาร์แอนด์ไอ จะติดตามความสามารถในการเบิกจ่ายของรัฐบาลควบคู่ไปกับการควบคุมดุลการคลังให้เป็นไปตามแผนด้วย