- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Tuesday, 15 November 2022 18:58
- Hits: 972
ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q3/2565 ขยายตัวชะลอลง คาดส่งออกในปี 2566 ยังคงขยายตัวได้ แต่เผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่สภาวะถดถอย
โดย สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์, กฤชนนท์ จินดาวงศ์, ปราโมทย์ วัฒนานุสาร, อังคณา สิทธิการ
Krungthai COMPASS
Key Highlights
• มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยในไตรมาส 3 อยู่ที่ 12,211 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเป็น 7.1%YoY โดยสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว ไก่ น้ำตาลทราย และอาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนสินค้าที่ส่งออกหดตัว ได้แก่ มันสำปะหลัง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง
• แม้การส่งออกจะได้รับปัจจัยหนุนจากเงินบาทอ่อนค่า และผลจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ทำให้คู่ค้าเร่งนำเข้าสินค้าในกลุ่มอาหาร แต่ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักได้รับผลกระทบจากมาตรการ Zero-COVID ทำให้การส่งออกไตรมาส 3 ขยายตัวในอัตราที่ลดลง
• Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยจะยังสามารถขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยและโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นตลาดหลักสินค้าเกษตรไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าเกษตรกลุ่มที่เคยเติบโตดีในปีที่ผ่านมาจะเริ่มขยายตัวชะลอลง เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง อีกทั้งต้นทุนราคาวัตถุดิบและราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูงจะกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการ
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2565 ยังคงขยายตัวได้แต่ในอัตราที่ชะลอลง
ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2565 ขยายตัวที่ 7.1%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัวถึง 20.4%YoY โดยมีสาเหตุจากตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดคิดเป็น 29% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดหดตัว เนื่องจากทางการจีนใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ที่เข้มงวด ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่นำเข้าสู่จีนต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดจนเป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง อีกทั้งยังส่งผลให้การบริโภคในจีนชะลอตัวลงจากการกักตัวที่ยังคงมีอยู่
โดยมูลค่าส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2565 หดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2563 อยู่ที่ 3.0%YoY โดยตลาดจีนหดตัวถึง 22.6%YoY ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่หดตัวลง ได้แก่ มันสำปะหลัง และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว และไก่ ขณะที่ตลาดสหภาพยุโรปขยายตัวถึง 28.7%YoY จากความต้องการนำเข้าที่มีทิศทางฟื้นตัวหลังจากการทยอยเปิดประเทศ โดยเฉพาะ ไก่แปรรูป ที่ขยายตัวถึง 137.2%YoY
ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวดีต่อเนื่องที่ 21.2%YoY โดยเฉพาะสินค้าส่งออกในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้ากลุ่มน้ำตาลทรายที่ได้รับผลดีจากราคาส่งออกและปริมาณผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปยังคงขยายตัว โดยเฉพาะทูน่ากระป๋อง ที่ได้รับผลบวกจากความกังวลของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้หลายประเทศมีความต้องการกักตุนสินค้าเพื่อใช้ในการบริโภค รวมถึงฐานที่ต่ำในปีก่อน
สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ
การส่งออกข้าวไตรมาส 3 ขยายตัวต่อเนื่อง จากเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่า
มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ที่ 12.4%YoY โดยมูลค่าการส่งออกข้าวขาวโดยรวมยังคงขยายตัวถึง 51.0%YoY จากปัจจัยด้านปริมาณที่ขยายตัว 55.9%YoY เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้ราคาส่งออกข้าวขาวอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดียได้มากขึ้น อีกทั้งมีการเร่งนำเข้าเพื่อกักตุน จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร หลังจากในช่วงที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้นในหลายประเทศและส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากการฟื้นความ สัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย ทำให้ไทยสามารถขยายตลาดสู่ตลาดตะวันออกกลางได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดอิรัก อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิกลับมาหดตัวที่ 4.2%YoY โดยปริมาณการส่งออกหดตัว 9.3%YoY ซึ่งเกิดจากการแข่งขันกับข้าวชนิดอื่นในตลาดส่งออกที่ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น เช่น ข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามที่มีราคาถูกและรสชาติดีใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
มูลค่าส่งออกยางพาราไตรมาส 3 ขยายตัวชะลอลง
มูลค่าส่งออกยางพาราแผ่นและยางแท่งไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ขยายตัวเพียง 0.2%YoY ชะลอลงจากไตรมาสก่อนซึ่งขยายตัว 3.0%YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออกที่ลดลง 5.4%YoY ตามทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก จากความกังวลในเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ส่วนปริมาณส่งออกยังขยายตัวได้ที่ 4.0% เพราะแม้ปริมาณส่งออกไปตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลักคิดเป็น 26.6% ของการส่งออกยางแผ่นยางแท่งทั้งหมดของไทย ลดลง 33.8%YoY เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ในจีน แต่การส่งออกไปยังตลาดอื่นยังขยายตัวได้ เช่น ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 18.7%YoY ตลาดญี่ปุ่นขยายตัว 26.3%YoY ตลาดเกาหลีใต้ ขยายตัว 160.7 %YoY
ส่วนมูลค่าส่งออกน้ำยางข้นเพิ่มขึ้น 1.9%YoY จากปัจจัยด้านปริมาณที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.3%YoY ตามตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลักอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย มีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 29.4%YoY เนื่องจากความต้องการใช้น้ำยางข้นเพื่อเป็นวัตถุดิบการผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จากมาตรการที่เข้มงวดในการจัดการการแพร่ระบาด COVID-19 ในจีน ส่วนตลาดมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับ 1 ของไทยและเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางรายใหญ่ของโลก ไทยมีปริมาณส่งออกลดลง 12.1%YoY จากความต้องการใช้น้ำยางข้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออกที่ลดลง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศคลี่คลาย
มูลค่าส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 3 หดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2563
มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 อยู่ที่ 915 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว 4.7%YoY โดยแม้มูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 687 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 8.1%YoY แต่มูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ด อยู่ที่ 206 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวถึง 31.5%YoY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่จีนซึ่งเป็นตลาดหลักเกือบทั้งหมดเร่งนำเข้าตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 2565 จากความกังวลสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อกว่าที่คาด ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวไทยส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดได้สูงถึง 0.9-1.0 ล้านตัน/เดือน สูงกว่าในช่วงปี 2562-2564 ที่ส่งออกได้เฉลี่ยประมาณ 0.3 แสนตัน/เดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาภาพรวมมูลค่าการส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ยังขยายตัว 19.6%YoY และคาดว่ามูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดทั้งปี 2565 จะขยายตัว 15%-20%YoY
เมื่อพิจารณาสต็อกข้าวโพดของจีน ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถใช้ทดแทนมันเส้นและมันอัดเม็ดในการผลิตอาหารสัตว์และแอลกอฮอล์ คาดว่าในปี 2566-2567 สต็อกข้าวโพดจีนจะอยู่ที่ 204 และ 199 ล้านตัน ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงค่าเฉลี่ยสต็อกข้าวโพดจีน 7 ปีย้อนหลังซึ่งอยู่ที่ 207 ล้านตัน ทำให้ในปี 2566-2567 ค่าเฉลี่ย ส่วนต่างราคาข้าวโพดในจีนเทียบกับราคาส่งออกมันเส้นจะยังอยู่ที่ 150-200 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับปี 2565 ทำให้ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดของไทยมีแนวโน้มจะยังขยายตัวได้
การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งในไตรมาส 3 หดตัว ท่ามกลางมาตรการตรวจสอบสินค้าที่เข้มงวดมากขึ้น
การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งในไตรมาส 3 ของปี 2565 หดตัว 40.1%YoY จากการส่งออกไปตลาดหลักทั้งจีนและฮ่องกงที่หดตัว 40.9%YoY และ 59.6%YoY ตามลำดับ โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้สดหดตัวลงมาก จากปัญหาผลผลิตทุเรียนและมังคุดลดลงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ กอปรกับมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีนที่เข้มงวด ส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งที่ขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ ทำให้ระยะเวลาในการขนส่งมากขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้ผลไม้บางส่วนเน่าเสียได้ ทั้งนี้ คาดว่าจีนจะยังคงใช้มาตรการ Zero-COVID ต่อไปจนถึงปี 2566 ทำให้ผู้ประกอบการผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งยังคงต้องติดตามการเพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการตรวจสอบสินค้าและป้องกันเชื้อ COVID-19 ของจีน รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด ซึ่งในช่วงแรกอาจทำให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น
การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 3 ขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการในตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น
ภาพรวมการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปในไตรมาส 3 ของปี 2565 ขยายตัวถึง 75.4%YoY โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 71.4%YoY จากตลาดส่งออกหลักอย่างญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปที่เพิ่มขึ้น 37.3%YoY และ 137.2%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัวจากการทยอยเปิดประเทศ ประกอบกับได้อานิสงส์จากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกไก่จากยูเครนเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่มีทิศทางฟื้นตัวขึ้น
ส่วนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งขยายตัว 84.1%YoY จากตลาดส่งออกไปจีนที่โตถึง 123.3%YoY โดยได้รับอานิสงส์จากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น ประกอบกับความต้องการนำเข้าไก่ของจีนจะค่อยๆฟื้นตัว แม้จีนจะยังใช้นโยบาย Zero-COVID แต่คาดว่าจะผ่อนคลายความเข้มงวดของมาตรการ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารกลับมาเปิดได้ตามปกติ
ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2566-2567
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปี 2566-2567 ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรจะยังขยายตัวได้แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยปัจจัยท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด อาทิ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และต้นทุนดำเนินงานที่ยังอยู่ในระดับสูง
• ข้าว ในปี 2566-2567 ตลาดส่งออกข้าวยังคงฟื้นตัว โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 7.7 และ 8.0 ล้านตัน ตามลำดับหรือเพิ่มขึ้น 2.5%YoY และ 4.1%YoY ตามลำดับ (ปรับดีขึ้นกว่าการปรระเมินครั้งก่อนที่อยู่ที่ 7.2 และ 7.6 ล้านตัน จากค่าเงินบาทในปี 2566-2567 ที่จะอ่อนกว่าที่คาดไว้เดิม และสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ) แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต หากเทียบกับในช่วงปี 2557-2561 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยนปีละ 9-10 ล้านตัน เนื่องจากยังคงต้องแข่งขันรุนแรงกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดีย อีกทั้งคาดว่าผลผลิตข้าวของประเทศผู้ส่งออกสำคัญอย่าง ไทย เวียดนาม และอินเดีย มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ยิ่งทำให้การแข่งขันส่งออกข้าวในตลาดโลกรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการสายพันธุ์ข้าวไทยเริ่มมีแนวโน้มลดลงจากการตีตลาดของข้าวพันธุ์พื้นนุ่มจากเวียดนามที่มีราคาถูกและรสชาติดี จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ทำให้ผู้ซื้อสามารถต่อรองและกดราคาข้าวไทยลงได้อีก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อ Margin ของผู้ส่งออก
• ยางพารา ในปี 2566-2567 คาดว่ามูลค่าการส่งออกจะอยู่ที่ 1.42 และ 1.33 แสนล้านบาท ลดลง 5.0%YoY และ 6.0%YoY ตามลำดับ เป็นผลจากทั้งราคาส่งออกที่ลดลงและปริมาณส่งออกที่ขยายตัวในอัตราที่ลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกจะลดลง 7.0% และ 8.0% เนื่องจากผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่ปริมาณส่งออกจะอยู่ที่ 2.28 ล้านตัน และ 2.32 ล้านตัน หรือขยายตัวเพียง 2.0%YoY และ 2.0%YoY ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้วัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์ในจีนอาจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจจีนที่เติบโตแผ่วลง
ในปี 2566-2567 คาดว่ามูลค่าส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 5.10 และ 5.13 หมื่นล้านบาท หรือขยายตัวต่ำ 0.4%YoY และ 0.6%YoY ตามลำดับ ซึ่งมีปัจจัยกดดันจากราคาส่งออกที่ลดลง 7.0% และ 8.0% แม้ปริมาณส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้ 8.0%YoY และ 9.0%YoY ตามลำดับ จากปัญหาอุปทานส่งเกินถุงมือยางโลกที่บรรเทาลง อีกทั้งความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางทางการแพทย์และเภสัชกรรม เช่น ท่อยางและสายสวนทางการแพทย์ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการแพทย์ทั่วโลก
• ผลไม้สดแช่เย็น แช่งแข็ง ในปี 2566-2567 คาดว่ามูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งจะอยู่ที่ 2.4 และ 2.6 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 13.9%YoY และ 11.7%YoY ตามลำดับ โดยเฉพาะตลาดจีนยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากชาวจีนนิยมบริโภคผลไม้เมืองร้อนจากไทย กอปรกับความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) กับจีน ทำให้ไทยได้รับยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง อีกทั้งคาดว่า ในระยะข้างหน้าการส่งออกผลไม้ของไทยจะได้รับประโยชน์จากการขนส่งผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว ซึ่งสามารถลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่ง
อย่างไรก็ดี การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งไปจีนเผชิญปัจจัยท้ายทายจากคู่แข่งที่มากขึ้น ทั้งมาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ กอปรกับยังต้องติดตามการเพิ่มความเข้มงวดด้านมาตรฐานการส่งออกผลไม้ที่ต้องมีการขึ้นทะเบียนสวนและโรงงานผลิตให้ได้ตามมาตรฐาน GAP และ GMP รวมทั้งมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของศุลกากรจีนและสำนักงานตรวจสอบกักกันโรค (CIQ) อาทิ การเพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการตรวจสอบสินค้าและป้องกันเชื้อ COVID-19 การกำหนดให้มีใบรับรองสุขอนามัยพืช การกำหนดปริมาณสารตกค้างขั้นสูงสุด การควบคุมคุณภาพกระบวนการผลิตให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ รวมถึงมาตรฐานรูปแบบฉลากที่แสดงข้อมูลผลิตภัณฑ์และข้อกำหนดบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ กรณีที่จีนปลูกทุเรียนสำเร็จจะเป็นปัจจัยบั่นทองต่อการเติบโตของการส่งออกทุเรียนไทยตั้งแต่ปี 2567
• มันสำปะหลัง ในปี 2566-2567 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดของไทยจะอยู่ 6.5 และ 6.7. ล้านตัน ขยายตัว 4% ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 5.2 และ 5.5 ล้านตัน ตามลำดับ ขยายตัว 4% ต่อปี เนื่องจากสต็อกข้าวโพดจีน (สินค้าทดแทน) มีทิศทางลดลง ทำให้ราคาข้าวโพดจีนแพงกว่าราคาส่งออกมันสำปะหลังของไทยค่อนข้างมาก ส่งผลให้ผู้ผลิตจีนยังมีความต้งอการนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทย แต่ผู้ประกอบการยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว
ในปี 2566-2567 ราคาเฉลี่ยมันเส้นและแป้งมันทั้งในประเทศและราคาส่งออกจะลดลงจากปี 2565 แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ตามทิศทางราคาข้าวโพดตลาดโลก อีกทั้งผลผลิตหัวมันสำปะหลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 32.5 และ 33.2 ล้านตัน ตามลำดับ หลังราคาหัวมันสด ในปี 2566 ยังจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก โดยราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 7.3-8.0 บาท/กก. และ 240-250 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ ขณะที่ราคาเฉลี่ยแป้งมันในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 14.4-14.9 บาท/กก. และ 440-480 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ
• ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ในปี 2566-2567 คาดว่าปริมาณส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.01 และ 1.04 ล้านตัน หรือขยายตัว 3.1%YoY และ 3.0%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปยังคงขยายตัวได้เพราะได้อานิสงส์จากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อไปจีนถึงปีหน้า ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกไก่จากยูเครนเข้าสู่งตลาดสหภาพยุโรปซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้าไก่จากยูเครนกว่า 20% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่มีทิศทางฟื้นตัวขึ้น สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งแจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาห์แอฟริกาในสุกร (AFS) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น นอกจากนี้ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งแของไทยยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังซาอุฯ เนื่องจากซาอุฯ เป็นประเทศผู้นำเข้าไก่รายใหญ่อันดับ 6 ของโลก ประกอบกับภาครัฐของไทยมีการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไก่ ซึ่งเป็นไก่ฮาลาล ไปยังซาอุฯ เพิ่มขึ้น หลังจากการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตทั้ง 2 ประเทศ
Implication:
Krungthai COMPASS มองว่า แม้ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2566 จะขยายตัวได้ แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้
• ความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักสินค้าเกษตรไทย อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าเกษตรกลุ่มที่เคยเติบโตดีในปีที่ผ่านมาจะเริ่มขยายตัวชะลอลง เช่น มันสำปะหลัง ยางพารา อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการสินค้าเกษตรในกลุ่มอาหารแปรรูป อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์ยาง ในการขยายตลาดรองที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดซาอุดิอาระเบียที่ได้รับผลดี จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก รวมทั้งภาครัฐได้เดินหน้าจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ (GCC) ได้แก่ ซาอุฯ บาห์เรน โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และคูเวต
• มาตรการ Zero-COVID ของจีน ทำให้ทางการจีนเพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการตรวจสอบสินค้าและป้องกันเชื้อ COVID-19 ซึ่งคาดว่าจีนจะยังคงใช้มาตรการ Zero-COVID ต่อไปจนถึงปี 2566 ทำให้ผู้ประกอบการโรงงานผลิตผักและผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งจากไทยต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่คู่ค้ากำหนด ซึ่งในช่วงแรกอาจทำให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น และหากปรับตัวได้ช้า ก็อาจเสียตลาดให้กับคู่แข่งอย่างมาเลเซีย และเวียดนาม อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าในกลุ่มน้ำยางข้นและถุงมือยาง
• ต้นทุนวัตถุดิบ และราคาพลังงานที่แม้จะปรับตัวลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง จะกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหารที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก เช่น การผลิตปุ๋ยเคมี การผลิต ทูน่ากระป๋อง โดยเฉพาะรายกลางและรายย่อย ที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนต่ำกว่ารายใหญ่ และเป็นกลุ่มที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากอยู่แล้ว
• แรงกดดันด้านต้นทุนค่าจ้างแรงงาน ภาครัฐปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมีผล 1 ตุลาคม 2565 อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตของผู้ประกอบการสินค้าเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการทำประมง เช่น อาหารทะเลแปรรูป อาหารทะเลกระป๋อง เป็นต้น ที่ในกระบวนการผลิตมีการใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ผู้ประกอบการที่มีเงินทุนหมุนเวียนต่ำอาจลดการจ้างงาน หรือทำให้ต้องหยุดการผลิต
ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ ภาคอีสาน ภาคกลาง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ซึ่งแม้ในเบื้องต้นประเมินว่าอุทกภัยในปีนี้จะไม่รุนแรงเท่าในปี 2554 แต่หากสถานการณ์อุทกภัยขยายวงกว้างและรุนแรง ก็อาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตสินค้าเกษตรมากกว่าที่คาดไว้เดิม
A11644