WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

'บัณฑูร-สุภัค'มอง 58 จีดีพี 4%

    ไทยโพสต์ : คลองเตย * ‘บัณฑูร-สุภัค’มองจีดีพีปีหน้าโตได้ 4% แนะรัฐเร่ง ลงทุนเพื่อเรียกความเชื่อมั่น จับตาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง หวั่นฉุดบริโภค

     นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2558 การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะโตประมาณ 4% มาจากปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนของ ภาครัฐในโครงการลงทุนโครง สร้างพื้นฐาน ส่วนการชะลอตัวของ เศรษฐกิจ มองว่าเป็นเพียงปัญหาระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศช่วงที่ผ่านมา ที่เป็นตัวฉุดการลงทุนภาคเอกชน

    อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรตัดสินใจในการลงทุนด้านต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากภาคเอกชนมีความพร้อมในการลงทุนอยู่แล้ว

      ส่วนมาตรการทางการเงิน มองว่าเป็นการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะยาวควรเร่งรัดการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนมากกว่า ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะกลับ มาฟื้นตัวได้ดีหลังจากปัญหาการเมืองในประเทศได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนการส่งออก ผู้ประกอบการต้องเร่งพัฒนาการผลิตสินค้า และลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น

     นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรม การผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้า หน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ปีหน้าคาดว่าจีดีพีไทยจะโตได้ 3-4% มาจากแรงหนุนจากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศที่เริ่มดีขึ้นตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นมา รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่เริ่มจะกลับมาฟื้นตัวได้ชัดเจน โดยเฉพาะสหรัฐ

     ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามคือ ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง จะเป็นตัวฉุดการบริโภคในประเทศ แต่เมื่อดูจากข้อมูลจะพบว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมาจากผู้ที่มีรายได้น้อยเป็นส่วนใหญ่ โดยมองว่าความเชื่อมั่นในการบริโภคและการใช้จ่ายจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ชัดเจนขึ้นหลังจากนี้

     สำหรับ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐ เพื่อเร่งเบิกจ่ายงบประ มาณด้านต่างๆ เชื่อว่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้.

KBANK-CIMBT มอง GDP ปี 58 โตราว 4% ได้ลงทุนภาครัฐ-ท่องเที่ยวฟื้นหนุน

       นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ประเมินว่า ในปี 58 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 4% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมองปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจเป็นเพียงปัญหาระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวฉุดการลงทุนภาคเอกชน โดยในปี 58 เศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงค์จากการเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในอาเซียนจากที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งช่วยหนุนการเติบโตให้แก่เศรษฐกิจไทย

      อย่างไรก็ดี มองว่าภาครัฐควรจะตัดสินใจในการลงทุนด้านต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว เพราะภาคเอกชนมีความพร้อมในการลงทุนอยู่แล้ว สำหรับมาตรการทางการเงินมองว่าจะเป็นการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น โดยมองว่าระยะยาวควรเร่งรัดการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนมากกว่า

     ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวนั้น คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีหลังจากปัญหาการเมืองในประเทศได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ขณะที่การส่งออกคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่จะต้องเร่งพัฒนาการผลิตสินค้า และลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันที่สามารถสู้กับประเทศคู่แข่งได้

     ด้านนายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย(CIMBT) เปิดเผยว่า ในปี 58 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 3-4% โดยได้รับแรงหนุนจากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศที่เริ่มดีขึ้นตั้งแต่กลางปี 57 เป็นต้นมา ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่เริ่มจะกลับมาฟื้นตัวได้ชัดเจน โดยเฉพาะกรณีของสหรัฐอเมริกา

    ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามหลังจากนี้ คือ ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นตัวฉุดการบริโภคในประเทศ แต่ทั้งนี้หากดูจากข้อมูลจะพบว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมาจากผู้ที่มีรายได้น้อยเป็นส่วนใหญ่ โดยยังมองว่าความเชื่อมั่นในการบริโภคและการใช้จ่ายจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ชัดเจนขึ้นหลังจากนี้

    สำหรับ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐ เพื่อเร่งเบิกจ่ายงบประมาณด้านต่างๆ นั้น เชื่อว่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะต่อไป

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!