- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Thursday, 20 November 2014 21:52
- Hits: 3036
'โฆสิต'แนะเอกชนไทยเพิ่มมูลค่าสินค้ารับ AEC คาดจีดีพีปีหน้าโต 3-4% ยังต่ำกว่าศักยภาพ
ประธานกรรมการบริหาร BBL แนะเอกชนไทยเพิ่มประสิทธิภาพ-มูลค่าสินค้า รองรับการแข่งขันในตลาดอาเซียน พร้อมมองจีดีพีปี 58โต 3-4% แต่ยังต่ำกว่าศักยภาพ เหตุหนี้ครัวเรือนยังฉุด ด้าน ส.อ.ท.ระบุ ศก.ไทยครึ่งปีหลังฟื้นตัว หลังการเมืองชัดเจน-คสช.เรียกความเชื่อมั่น ส่วนการส่งออกยังชะลอ เหตุเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า บีโอไอ-ส.อ.ท.ประสานเสียงปีหน้าลงทุนฟื้น อาหาร ไฟฟ้า ยานยนต์ โดดเด่น
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBLกล่าวปาฐกถา ในงานสัมมนาหัวข้อ'อุตสาหกรรมไทยภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน'จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.ว่าในปี 2558 ที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AECนั้น ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน หรือรถไฟเชื่อมประเทศนั้น เชื่อว่าจะส่งผลให้ทุกประเทศในอาเซียนได้ประโยชน์
"เราคาดหวังว่า เออีซีเปิดจะมีประชากร 600 ล้านคนในตลาด แต่เราลืมไปว่าการแข่งขันก็จะเพิ่มสูงขึ้นในเรื่องของภาษีนั้นไม่อยากให้พูดถึง เนื่องจากจะได้ประโยชน์อยู่แล้ว อยากให้มีการปรับในเรื่องของภาคการผลิต การรักษาคุณภาพของสินค้า และการดูแลการบริการมากกว่า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับชาติอื่นๆ ในอาเซียนได้"นายโฆสิตกล่าว
นอกจากนี้ ภาครัฐจะต้องเร่งพัฒนาในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย หากยังตั้งเป้าหมายที่จะเป็นฐานการผลิตของโลก เนื่องจากยิ่งใกล้เปิดประชาคมอาเซียนความน่าสนใจในตลาดอื่นๆ จะมีมากขึ้น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ขณะที่ความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนในไทยเริ่มปรับลดลง เนื่องจากต่างชาติมีการเข้ามาลงทุนมานานแล้ว ดังนั้นหากไทยจะเป็นฐานการผลิตโลก จะต้องออกแรงเพื่อให้เป็นที่สนใจของตลาดมากขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีของไทยปีหน้าจะขยายตัวได้ 3-4% ซึ่งยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพ เนื่องจากไทยยังมีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการดำเนินนโยบายประชานิยมของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาโตได้ตามศักยภาพในช่วงปี59
"ปีหน้าทั้งปี ก็คาดว่าจะโตได้ไม่มาก มันโตจากฐานที่ต่ำ แต่ยังถือว่าต่ำกว่าศักยภาพ เพราะหนี้ครัวเรือนยังเป็นแรงกดดัน ส่วนปี59 คาดว่าจะสามารถกลับมาโตได้ตามศักยภาพ แต่ทุกฝ่ายห้ามเข้าไปเติมหรือสร้างประชานิยมเพิ่ม"นายโฆสิต กล่าว
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ ภาคการส่งออกที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามตลาดโลก เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัว การส่งออกประเทศอื่นๆ เริ่มฟื้นตัวได้ดี ในขณะที่การส่งออกของไทยยังคงติดลบ สะท้อนว่าผู้ประกอบการจะต้องเร่งพัฒนาสินค้าให้กลับมาเป็นที่ต้องการให้ได้
นอกจากนี้ นายโฆสิต ยังกล่าวถึงกรณีที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรี ประเทศญี่ปุ่นจะประกาศยุบสภาในเร็วๆ นี้นั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจเอเชีย เนื่องจากตลาดมีการรับรู้ข่าวสารมาพอสมควรแล้ว ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่าแม้จะมีการยุบสภา แต่นายอาเบะก็จะได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามารับตำแหน่งอีกครั้ง
นายพิภพ โชควัฒนา รองเลขาธิการ ส.อ.ท.เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน หลังการเข้ามาบริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.รวมทั้งดารจัดตั้งรัฐบาลที่สามารถเข้ามารับหน้าที่ปฏิรูปและบริหารประเทศได้ ซึ่งช่วยเรียกความเขื่อมั่นของผู้บริโภค ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติกลับคืนมา
นอกจากนี้ มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณค้างจ่ายของปี 2557 และเร่งจัดทำงบประมาณในปี 2558 ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ทันตามกำหนดเวลา
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจยังไม่ชัดเจนจากปัจจัยราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ และระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีความเปราะบาง ประกอบกับความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยที่เริ่มลดลง จากศักยภาพการผลิตที่ปรับไม่ทันกับความต้องการของตลาดโลก
"เศรษฐกิจไทยในปี 57 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ไม่ปฏิเสธว่ามีปัจจัยลบเข้ามากระทยอยู่รอบด้าน ตั้งแต่ความขัดแย้งทางการเมืองที่กินระยะเวลากว่า 6 เดือน ส่งผลต่อความเขื่อมั่นของภาวะเศรษฐกิจไทยลดลง การบริโภคภายในประเทศทรุดตัวลง กานลงทุนของภาครัฐหยุดชะฝัก นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติชะลอการลงทุน"นายพิภพ กล่าว
ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยยังหดตัวต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวล่าช้า ทั้ง สหรัฐยุโรป ญี่ปุ่นและจีน ด้วย ซึ่งปัจจัยต่างๆที่เข้ามากระทบส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกหดตัว 0.1%
ด้านนายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เปิดเผยในงานสัมมนาเดียวกัน หัวข้อ "ตามติดเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย ปี 2558"ว่า ในปีหน้าบรรยากาศการลงทุนจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวมากขึ้น แต่ทั้งนี้ นักลงทุนจะเริ่มมองภาพอาเซียนมากขึ้น กว่าการมองประเทศไทยเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นปีของการเปิดประขาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี
สำหรับ อุตสาหกรรมไทยที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดีในปีหน้านั้น เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักรและชิ้นส่วน ขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และฮาร์ดดิสก์ไดร์นั้นชะลอลง หลังจากมีการย้ายฐานไปยังมาเลเซียมากขึ้น นอกจากนี้จะเริ่มเห็นการบงทุนในส่วนของโซลาเซลล์เพิ่มมากขึ้นด้วย
"บรรยากาศการลงทุนปีหน้าดีแน่นอน แม้เราจะเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอาจยังไม่เพียงพอ จะต้องเร่งพัฒนาในเรื่องของคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้าด้วย"นายโชคดี กล่าว
นายเจน นำชัยสิริ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ในปีหน้าคาดว่าภาคอุตสาหกรรมไทยจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ โดยภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีความโดดเด่นและจะกลับมาขยายตัวได้ต่อเนื่อง คือ ไฟฟ้า อาหาร และอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่น่าสนใจและมีการส่งออกไปยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น คือ เฟอร์นิเจอร์ อาหารเสริม และเครื่องสำอาง เป็นต้น
"10-11 เดือนที่ผ่าน อุตสาหกรรมกุมขมับกันหมดจากตลาดต่างประเทศฟื้นตัวช้า ญี่ปุ่นขึ้นภาษีส่งผลให้การบริโภคชะลอ เศรษฐกิจจีนก็มีปัญหาค่อนข้างมาก แต่สำหรับปีหน้าคาดว่าภาคอุตสาหกรรมของเราคงจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน"นายเจน กล่าว
นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน และอดีตผู้บริหาร บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ BCP เปิดเผยว่า ทิศทางพลังงานในปี 2558 คาดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลง ตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และการปรับโครงสร้างราคาในประเทศ โดยการปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี ทำให้มีการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเบนซิน ขณะเดียวกันยังมีการยกเลิกเพดานราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาท และปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตรเป็น 3-4 บาทต่อลิตร แต่ยืนยันว่าราคาจะไม่สูงกว่า 30 บาทต่อลิตรมากนัก
"ราคาก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น จากสัดส่วนการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นของก๊าซจากพม่าและก๊าซแอลพีจีที่มีราคาแพง โดยมองว่าราคาแอลพีจีและเอ็นจีวี จะปรับสูงขึ้นตามการปรับโครงสร้างราคาของรัฐบาล"นายมนูญ กล่าว
สำหรับ ค่าไฟฟ้า(ค่าเอฟที)มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน จากค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น ขณะที่การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินโดยใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสูง ด้านภาครัฐจะมีการส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยให้ผลิตไฟฟ้าขายตามนโยบาย Solar Roof Top
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
ประชานิยมฉุดศก.ปีหน้าโตแค่ 4% 'โฆษิต'แนะรบ.เชียร์ลงทุนภาคผลิต
แนวหน้า : นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ปาฐกถาพิเศษเรื่อง อุตสาหกรรมไทยภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" ในงานสัมมนาตามติดเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย ปี 2558 จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ว่า ปี 2558 ประเมินอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไทยโต 3-4% (รัฐบาลคาดการณ์4-5%) เนื่องจากเทียบกับฐานปีนี้ที่ขยายตัวได้ค่อนข้างต่ำ เพราะยังมีแรงกดดันจากผลพวงของนโยบายประชานิยมที่ทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นตัวฉุดกำลังซื้อในประเทศ จนเศรษฐกิจไทยไม่สามารถขยายตัวได้ตามศักยภาพที่ควรจะเป็น
"ฤทธิ์ของประชานิยมยังมีแรงกดดันสูงมาก ส่วนตัวจึงมองว่าปี 2558 ทั้งปีเศรษฐกิจไทยน่าจะไม่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แต่หวังว่าปี 2559 แรงกดดันจากประชานิยมจะอ่อนกำลังลง เพียงแต่เวลานี้ขออย่าให้มีการเติมประชานิยมที่ซ้ำเติมให้หนี้ครัวเรือนสูงเข้าไปอีก"นายโฆสิตกล่าว
นายโฆษิต กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คงไม่เกิดประโยชน์หากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไม่ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงกับตลาดโลก หลังจากการส่งออกไทยติดลบสวนทางกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ทำให้ไทยถดถอยจากประเทศที่เป็นฐานการผลิตเหลือเพียงประเทศหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุนเป็นสัญญาณร้ายในอนาคต ดังนั้นภาคเอกชนต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า พัฒนาตลาดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาครัฐต้องสนับสนุนภาคการผลิตมากขึ้นเพราะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เทียบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ชาติก็สามารถเขัมาใช้ประโยชน์ได้
