- Details
-
Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
-
Published: Wednesday, 19 November 2014 18:21
-
Hits: 3100
วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 17:49 น. ข่าวสดออนไลน์
สัมมนา Looking Forward อนาคตไทยปี 58 'สมคิด'ชี้ปฏิรูปประเทศเพื่อวางรากฐานอาคต
เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จัดงานสัมมนา Looking Forward อนาคตไทยปี 58 โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวปาฐกถาหัวข้อ'เชื่อมโยงแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย'จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ Looking Forward อนาคตไทยปี 58 โดย นายบรรยง พงษ์พานิช คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)
ดร.สมคิด กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า กรณีประเทศฟิลิปปินส์ที่เคยประสบความสำเร็จและเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่ฟิลิปปินส์ไม่เน้นความยั่งยืนในอนาคต ทำให้ความสามารถเสื่อมถอย เศรษฐกิจหดตัว คนตกงาน ขาดธรรมาภิบาล ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องไม่ซ้ำรอยแบบฟิลิปปินส์ในอดีต ก่อนรัฐประหารครั้งนี้ ได้เคยแสดงความเห็นว่า ประเทศต้องรีบจริงจังกับการปฏิรูปประเทศ การเมือง เศรษฐกิจ เพราะถ้าถดถอยแล้วจะเกิดในอัตราเร่งและอาจจะสายเกินไป ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำเมื่อตอนจำเป็น และการใช้จ่ายให้สอดรับกับวาระสำคัญของประเทศ ที่ต้องการแก้ไขฟื้นฟูโดยยกกรณีจีนที่เคยทุ่มเงิน 4 ล้านล้านหยวนในการยกระดับความเป็นเมืองกับชนบท
“วันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจแม้จะดูซึมเซา แต่ถ้าคิดให้ดีๆ ถึงสิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี ณ วันนี้ก็ถือว่า สถานการณ์ทรงตัวและมีแนวโน้มน่าจะดีขึ้น อย่างน้อยที่สุดเวลานี้บ้านเมืองสงบขึ้น แต่เศรษฐกิจไม่กระฉับกระเฉงเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เราเข้าสู่โหมดการปฏิรูป และคิดว่า อีกซักช่วงเวลาหนึ่ง เราจะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ที่แน่ๆ คือ เรามีการเลือกตั้งแน่นอน เราจะต้องมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแน่นอน แต่ที่บอกไม่ได้แน่นอนคืออนาคตของประเทศว่า เราจะสามารถพลิกฟื้นประเทศ หลังจากย่ำแย่มาเกือบทศวรรษเต็มๆ ให้กับมาสดใสส่องแสงสว่างในอาเซียนอีกครั้ง หรือเราจะเดินซ้ำรอยความผิดพลาดแบบของฟิลิปปินส์ในอดีต ผมว่าทั้งหมดไม่มีใครยืนยันว่า จะเกิดอะไรขึ้น แต่ขึ้นอยูกับการกระทำในวันนี้ ถ้าเราตัดสินใจร่วมมือกัน จริงจังกับการฟื้นฟู พัฒนาประเทศ ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถยืนยง ยืนหยัดได้อย่างสดใสในอนาคตข้างหน้า”ดร.สมคิด กล่าว
ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า จริงๆ ประเทศในวันนี้มีหลายอย่างพัฒนาไปในทางที่ดี ยกตัวอย่างหลังการปฏิวัติทุกคนตกใจ เราถูกอเมริกาด่าว่าว่าไม่มีความชอบธรรม จอห์น เคอร์รี่ ดุด่าเหมือนเราเป็นประเทศอะไรไม่ทราบ ญี่ปุ่น มิตรสหายของเราก็เย็นชาอย่างไม่น่าเกิดขึ้น ออสเตรเลีย ก็ว่าเรา มันเสมือนหนึ่งว่าโลกมันปิด ประเทศไทยหาทางออกไม่เจอ หลังจากผ่านไประยะหนึ่งได้เดินสายไปจีน ญี่ปุ่น สองประเทศพอจะรับเราได้ กระทั่งนายกฯ ไปประชุมเอเปก ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงไป และจะตามมาอีกหลายประเทศที่จะค่อยๆ คลี่คลายออกไป ดังนั้น ในเรื่องต่างประเทศโลกที่เคยปิดก็ค่อยๆ เปิดความมั่นใจค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ดร.สมคิด กล่าวด้วยว่า หัวใจการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ต้องบริหารด้วยความระมัดระวัง จัดการสิ่งต่างๆ ด้วยความรอบคอบ ยึดหลักการวางรากฐานในอนาคต ไม่ใช่ทำด้วยความฉาบฉวย คิดถึงความยั่งยืนของเศรษฐกิจประเทศเป็นหลัก และไม่เสี่ยงกับการสร้างภาระต่อเศรษฐกิจประเทศชาติ พร้อมชี้ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรทำต่อเมื่อมีความจำเป็น และสอดคล้องกับวาระสำคัญของประเทศเท่านั้น และห้ามมองข้ามเออีซี จากการเดินสายจีน-ญี่ปุ่น พบว่าไทยมีผลต่อ GeoPolitics ในเส้นทางยุทธศาสตร์การเมืองไทยเป็นฮับ ในเออีซีไทยต้องเร่งสร้าง Connectivity จึงเป็นที่มารถไฟหนองคายมาสู่มาบตะพุด East West Corrider ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก ที่เราปฏิรูปการขนส่ง และเปิดให้ภาคอีสานเกิดขึ้นอย่างจริงจัง หัวใจไม่ได้อยู่ที่รถไฟ แต่ต้องทำภาพให้เห็นทั้งหมด เพื่อให้ความมั่นใจการลงทุนกลับมา
“การปฏิรูปต้องคิกออฟโดยผู้นำ ถ้าผู้นำจี้ทุกเดือน ตั้งไว้ร้อยอย่างน้อย ก็ต้องได้ห้าสิบ ลักษณะเช่นนี้ผมเห็น อย่างน้อยๆ มันกระตุ้น เห็นคุณภาพคนที่ไปร่วมประชุมเมื่อวาน เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง คนเหล่านี้คือไฮควอลิตี้ ไม่ใช่นักการเมืองที่หวังผลชั่วครั้งชั่วคราว แต่ทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ จัดไพออริตี้ว่าเรื่องไหนสำคัญไม่สำคัญ ที่คิดว่าสำคัญมากคือ การสื่อความกับประชาชน การปฏิรูปจะไม่เกิดผลเลย ถ้าไม่สื่อความให้ประชาชนเข้าใจและตื่นตัว การปฏิรูปคอร์รัปชั่น
ผมมาเพื่อบอกสื่อโดยเฉพาะ ว่า ต้องใช้จังหวะ 1 ปี นี้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ให้สื่อถึงประชาชนทุกระดับ ว่าวันนี้พูดเรื่องการศึกษานะ พูดเรื่องคอร์รัปชั่นนะ แล้วเอาฟีดแบ็คมา เป็นสองทาง ไม่ใช่เดินต่อต้าน ลักษณะเช่นนี้ไปไม่ได้ มันไม่จบ ผมคิดว่า การปฏิรูปไม่มี การเกิดวิกฤตจึงมีโอกาสการปฏิรูป ถ้าเราไม่ใช้โอกาสนี้ เราจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สอง เชื่อสิ อย่างน้อยก็ในชีวิตผม ผมมองในแง่ดี เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ทุกคนต้องช่วยกัน แต่สำคัญกว่าต้องปฏิรูป นั่นคือวางรากฐานในอนาคต ถ้ารากฐานดีอนาคตก็ดี”ดร.สมคิด กล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์