- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Tuesday, 27 May 2014 23:16
- Hits: 4243
ฟิทช์ ระบุ รัฐประหารไม่ได้เป็นปัจจัยลบถึงขั้นกระทบต่อเครดิตไทย แต่ย้ำ หากการเมืองยังไม่มีเสถียรภาพในต้นครึ่งปีหลัง อาจส่งผลต่ออันดับเครดิต
ฟิทช์ ระบุการรัฐประหาร ไม่ได้เป็นปัจจัยเชิงลบถึงขั้นกระทบต่ออันดับเครดิตไทย ในทางกลับกันการยอมปฏิบัติตามรัฐบาลใหม่ที่มาจากกองทัพ ตามมาด้วยการเลือกตั้งน่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่หากการเมืองยังไม่มีเสถียรภาพในช่วงต้นครึ่งปีหลัง อาจส่งผลลบต่ออันดับเครดิต ล่าสุดเล็งหั่นจีดีพีปีนี้จากเดิมที่ 2.5%
นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับบทวิเคราะห์ อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัท Fitch Ratings (Fitch) ว่า การทำรัฐประหารของประเทศไทยไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับ ความน่าเชื่อถือในทันทีทันใด Fitch เห็นว่า การที่กองทัพเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นปัจจัยเชิงลบที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
"โดยปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อสถานะความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ได้แก่ ความรวดเร็วของประเทศไทยในการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลที่จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งการทำรัฐประหารได้เน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงดำเนินอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แสดงถึงความท้าทายต่อการจัดตั้งกระบวนการใหม่ที่จะนำไปสู่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ "
Fitch เห็นว่า ปฏิกิริยาตอบสนองทางการเมืองต่อการทำรัฐประหารจะเป็นเพียงความวุ่นวายในระยะสั้นเท่านั้น การยอมปฏิบัติตามรัฐบาลใหม่ที่มาจากกองทัพหรือที่มีกองทัพหนุนหลังอย่างกว้างขวาง ตามด้วยกระบวนการที่โปร่งใสที่นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองในที่สุด
อย่างไรก็ดี การที่กลุ่มทางการเมืองหลักไม่ยอมรับการทำรัฐประหารอาจนำไปสู่การเผชิญหน้า ที่ตึงเครียดขึ้นและเสี่ยงต่อการบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หากกระบวนการสร้างเสถียรภาพทางการเมืองยังไม่เรียบร้อยภายในช่วงต้นของครึ่งปีหลังแล้ว Fitch คาดว่า อาจเกิดความเสียหายที่ยาวนานต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในที่สุด
นอกจากนี้ Fitch คาดว่าจะปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยใน ปี 2557 ที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.5 ลงอีกบนพื้นฐานของความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่และข้อมูลทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในไตรมาสแรกที่เศรษฐกิจไทยได้หดตัวลงร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรัฐบาลเองได้ปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมาอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5-2.5 จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 3-4
Fitch เห็นว่า การที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในสถานะที่ดีเพียงพอที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในช่วงสั้นๆ นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign Currency IDR) ของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ BBB+
นอกจากนี้ ปัจจัยรองรับทางด้านเศรษฐกิจมหภาคยังคงแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต้านทานแรงกดดันได้ในระยะสั้นถึงแม้ว่าตลาดของไทยจะอยู่ในสภาวะที่แย่กว่าประเทศในภูมิภาคอันเนื่องมาจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและการเผชิญกับการไหลออกของเงินทุน ซึ่งปัจจัยรองรับดังกล่าวรวมถึงสถานะในการเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศสุทธิที่แข็งแกร่งที่คิดเป็นร้อยละ 35 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หนี้รัฐบาลที่อยู่ในระดับปานกลางที่คิดเป็นร้อยละ 32 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของธนาคารแห่งประเทศไทยในการดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำโดยเปรียบเทียบและมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญของไทยในระยะยาว คือ ประเทศไทยจะสามารถก้าวผ่านความแตกแยกทางสังคมและสามารถบริหารประเทศได้อย่างปกติหรือไม่ ซึ่ง Fitch มองว่า หากปราศจากรัฐบาลที่มีเสถียรภาพที่สามารถดำเนินนโยบายส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจนทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ระดับปานกลางได้นั้น ประเทศไทยจะเสี่ยงกับการถูกทิ้งให้ล้าหลังกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคในด้านการพัฒนาและศักยภาพการเจริญเติบโตของประเทศ โดยแนวโน้มอัตราการเจริญเติบโตอาจลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3-3.5 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ต่ำสำหรับเศรษฐกิจที่อยู่ในขั้นกำลังพัฒนา
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย