- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Thursday, 28 January 2021 10:36
- Hits: 9052
Ripple Insight: 2021 Predictions on Crypto & Blockchain market
บทวิเคราะห์เชิงลึกการคาดการณ์แนวโน้มตลาดคริปโตและบล็อคเชนในปี 2021
ปี 2020 เป็นปีที่ผิดคาดหรือพลิกทุกความคาดหวัง โดยเฉพาะการคาดการณ์ในภาคบริการทางการเงินที่หวังจะได้เห็นการนำบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจหลักๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ครั้งนี้ก่อให้เกิดการนำคริปโตเคอร์เรนซีมาใช้งานในรูปแบบใหม่มากขึ้นและในวงกว้างขึ้น โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์ถึงความก้าวหน้าที่ดำเนินไปอย่างมั่นคงและเสริมสร้าง รากฐานของเทคโนโลยีนี้ แต่เห็นได้ชัดว่ากฎระเบียบและข้อบังคับของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดลำดับแรก ไม่เพียงแต่สำหรับริปเปิลเท่านั้นแต่สำหรับอุตสาหกรรมโดยรวมด้วย
เมื่อมองไปข้างหน้า ผู้บริหารหลายคนของริปเปิลคาดการณ์ว่าในปี 2021 จะมีการเร่งพัฒนานวัตกรรมบล็อคเชนและ คริปโตเคอเรนซีอย่างต่อเนื่อง และทั้ง 6 คนยังร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหลายสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในปี 2021 ดังนี้
เร่งการเติบโตของคริปโต
Asheesh Birla ผู้จัดการทั่วไปของ RippleNet กล่าวว่า “เส้นแบ่งระหว่างคริปโตและธนาคารนั้นไม่ชัดเจน ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทฟินเทคที่มีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากคริปโตเข้ามาร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดของธนาคารที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และปรับเปลี่ยนได้ไม่รวดเร็วนัก”
การเปลี่ยนแปลงหันมายอมรับคริปโตนั้นเห็นได้ผ่านบริษัทฟินเทคที่ทำงานกับลูกค้าโดยตรงอยู่แล้วเช่น Square, Robinhood และ PayPal เดิมทีบริษัทเหล่านี้ทำให้บริการโมบายแบงค์กิ้งและดิจิทัลแบงค์กิ้งสามารถเข้าถึงกลุ่ม ลูกค้าในวงกว้างกว่า และตอนนี้การนำคริปโตมาใช้ของพวกเขากำลังช่วยเพิ่มจำนวนผู้คนให้รู้จักสินทรัพย์ดิจิทัล และบริการทางการเงินที่เปิดใช้งานบล็อคเชนมากขึ้น
Birla คาดการณ์ว่าการเปิดใช้คริปโตและการปรับปรุงกฎระเบียบของฟินเทคให้เหมาะสมขึ้น จะช่วยให้บริษัทฟินเทคต่างๆ แข่งขันกับภาคธนาคารในตลาดจริงได้ดียิ่งขึ้นในปี 2021
ในขณะเดียวกันบริษัทคริปโตต่างๆ กำลังมองหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจเยี่ยงธนาคารเพิ่มมากขึ้น (traditional bank) โดยเห็นได้จากจำนวนบริษัทคริปโตและบล็อคเชนที่ยื่นขอใบอนุญาตการธนาคารในปี 2020
“กระแสน้ำกำลังเปลี่ยนทิศทางการไหลเวียน” Birla กล่าว “เป็นไปได้ว่าในปีนี้เราจะได้เห็นบริษัทฟินเทค หรือคริปโตเคอเรนซีเข้าซื้อสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม”
การเปล่งแสงของ DeFi
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่คึกคักของ DEFI ซึ่งทยอยเปิดตัวเรียกกระแสและสร้างแอปพลิเคชั่นที่ได้รับความสนใจอย่างมากมายในช่วงปี 2020 แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังคงอยู่แค่ในกรอบของคริปโต แต่ก็เป็นผลงานตัวอย่างที่สำคัญ ในการแสดงศักยภาพของ DeFi
เมื่อมองไปข้างหน้า Michael Zochowski หัวหน้าฝ่าย DeFi ของ Ripple กล่าวว่า “ปี 2021 เราจะได้เห็น DeFi มาแรงยิ่งขึ้นเมื่อมันเติบโตเต็มที่ ผมคาดว่าจะมีโครงการ DEFI ที่เปิดตัวในช่วงแรกๆ หลายโครงการที่ต้องพับไป ไม่ก็รวมกลุ่มกัน หรือถูกซื้อโครงการไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้านับจากนี้” Zochowski กล่าว “แต่ตัวที่มีประโยชน์ อย่างแท้จริง ซึ่งน่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่จำลองบริการทางการเงินให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น wrapped assets หรือ decentralized exchanges ที่น่าจะได้รับแรงผลักดันจากผู้ใช้ให้ไปต่อได้”
Zochowski ยังคาดการณ์ว่าแพลตฟอร์ม DeFi ที่เปิดตัวใหม่ๆ จะทำให้ฐานรากของเทคโนโลยีแข็งแกร่งขึ้น เพราะความ ต้องการด้านประสิทธิภาพและการลดต้นทุนของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาคาดหวังว่าโครงการรอง ที่เชื่อมระหว่างเครือข่ายและ smart contract applications จะเปิดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการให้ความสำคัญต่อความสามารถในการเพิ่มศักยภาพในการทำงานร่วมกันและประสิทธิภาพ
เนื่องจาก Eth2 ยังคงห่างไกลจากความเป็นจริง เขายังเตือนด้วยว่า Ethereum จะยังคงสูญเสียที่มั่นและอาจจะตกลงไปอีกในปี 2020 หากไทม์ไลน์ในการพัฒนายังช้าอยู่แบบนี้ “ผมเชื่อว่าอย่างน้อย 25% ของมูลค่าที่ใช้ใน DeFi ภายในสิ้นปี 2021 จะตกไปอยู่ในเครือข่ายอื่นที่ไม่ใช่ Ethereum”
Zochowski ยังเชื่ออีกว่าระบบนิเวศ XRPL จะต่อยอดความสำเร็จจากปี 2020 อย่างมีนัยสำคัญด้วยความคิด ริเริ่มที่สำคัญใหม่ๆ หลายอย่างที่จะขยายบทบาทความเป็นผู้นำในตลาด DEFI ซึ่งรวมถึงโครงการต่างๆ อาทิเช่น Flare และ XRPL Transaction Hooks ซึ่งเปิดใช้งานและเพิ่มฟังก์ชัน smart contract ที่รองรับทั้งผู้ใช้และนักพัฒนา XRP นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่าชุมชน XRP กำลังกลับสู่จุดตั้งต้นโดยการมองหาโทเค็นที่เข้ากันได้และการแลก เปลี่ยนแบบกระจายอำนาจบน XRPL
“เราคาดว่าเทรนด์แนวโน้มการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นโทเค็นใน XRPL จะเร่งเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออก stablecoin ที่มีการนำมาใช้งานในธุรกิจจริง (production deployment) ในหลากหลายรูปแบบ และในหลายผลิตภัณฑ์ขององค์กรถูกสร้างขึ้นบนเครื่องมือใหม่ที่ได้รับการปรับปรุง” Zochowski กล่าว
ความชัดเจนของกฎระเบียบข้อบังคับ
ภายใต้ทีมบริหารงานชุดใหม่ของทำเนียบขาวคาดว่าฝ่ายบริหารใหม่จะให้ความสำคัญกับการวางกฎระเบียบและข้อบังคับ ในขณะที่คริปโตเคอร์เรนซีก้าวไปสู่กระแสหลัก ประเทศในกลุ่ม G20 ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะพิจารณาเทคโนโลยี เหล่านี้และให้ความสำคัญด้านการวางกฎระเบียบทางการเงินโดยเร่งด่วน ดังที่เราได้เห็นแล้วว่าการขาดกรอบ การกำกับดูแลที่ชัดเจนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ผู้เล่นฟินเทคและบล็อกเชนต้องตกอยู่ในสภาพสุญญากาศไร้ทิศทาง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่นสหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ และญี่ปุ่นต่างก้าวไปไกลกว่าสหรัฐฯ อย่างทิ้งห่าง
ที่ปรึกษาทั่วไปของริปเปิล Stu Alderoty คาดการณ์ว่ากฎระเบียบที่เกี่ยวกับคริปโตจะอยู่ในวาระสำคัญสูงสุด สำหรับทีมงานของประธานาธิบดี Biden ที่เข้าใจถึงผลกระทบต่อนวัตกรรมของภาครัฐและเอกชน และอาจนำไปสู่กรอบการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียวและปรับปรุงขั้นตอนการยื่นแบบที่เหมาะสมมากขึ้นสำหรับบริษัท ฟินเทคที่กำลังมองหาใบอนุญาตคริปโต
“กฎระเบียบที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาดและได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน ผ่านการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำไปใช้อย่างมีระบบ จะช่วยให้การลงเล่นในตลาดจริงและการปลดปล่อยนวัตกรรมเป็นไปได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เป็นที่ยอมรับในธุรกิจกระแสหลักต่อไปได้ในประเทศสหรัฐอเมริกานี้” Alderoty กล่าว
ปีแห่งเงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง CBDC
ความสัมพันธ์ระหว่างกฎระเบียบของภาครัฐและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในบริบทของ Central Bank Digital Currencies (CBDCs) ที่กำลังเป็นที่จับตามองและเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้
ด้วยสถานการณ์จริงที่ถูกผลักดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิด new normal ขึ้นเช่นการหลีกเลี่ยงการใช้เงินสด และความต้องการวิธีบริหารจัดการที่ดีขึ้นในการแจกจ่ายความช่วยเหลือจากรัฐบาล ดังเช่นที่ประเทศจีนรัฐบาลผลักดันและเร่งการออกสกุลเงิน CBDC ของตนเองก่อนใครเพื่อน จนทำให้หลายประเทศต้องเร่งตั้งโครงการในเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายประเทศในยุโรปที่กำลังสำรวจความเป็นไปได้ของเงินยูโรดิจิทัล ในขณะที่ธนาคารกลาง สหรัฐกำลังทำงานวิจัยร่วมกับ Digital Currency Initiative ของ MIT
“กิจกรรมและความคืบหน้าของ CBDC เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่สุดว่าสกุลเงินดิจิทัลคือสกุลเงินอนาคต” James Wallis รองประธานฝ่ายการมีส่วนร่วมของธนาคารกลาง (VP of Central Bank Engagements) ของริปเปิล กล่าว “ในช่วงปี 2021 ผมคาดหวังว่าจะได้เห็นวิวัฒนาการของคริปโตเคอร์เรนซี stablecoin และ CBDC มากขึ้น โดยจะเป็นการเติบโตที่มีสเถียรภาพในภาคไฟแนนซ์และการชำระเงินผ่านการนำไปใช้งานในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น”
ในปี 2021 นี้ความสำคัญของ CBDC จะขยายวงกว้างขึ้น โดยเริ่มจากการนำไปใช้แก้ปัญหาภายในประเทศตลอดจนถึง การจัดการกับประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน อย่างเช่นในประเทศจีนที่ธนาคารกลางบางแห่ง จะให้ความสำคัญกับ CBDC รายย่อยในการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ในขณะที่ธนาคารอื่นๆ จะทดลองการใช้เงินดิจิทัลแทนเงินสด เช่นในสวีเดนหรือบาฮามาส โครงการใหม่เหล่านี้จะต้องมีการทำงานร่วมกัน ระหว่างเครือข่ายของธนาคารกลางและบล็อกเชนส่วนตัว และอาจสามารถใช้สกุลเงินกลาง (bridge currency) เป็นตัวเชื่อมที่ช่วยให้เกิดสภาพคล่องและการชำระเงินข้ามพรมแดนแบบทันที
นอกเหนือจากบทพิสูจน์การทำงาน
การเปิดตัว Beacon Chain ของ Ethereum ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในปี 2020 สำหรับ David Schwartz CTO ของ Ripple เขามองว่ามันเป็นการขยับที่ชัดเจน จากในขั้นของการพิสูจน์ผลการทำงาน (PoW) ไปสู่ระบบที่ยั่งยืนและปรับขนาดได้มากขึ้นในปี 2021
“ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือ ระบบ PoW นั้นใช้ทรัพยากรและสิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล” Schwartz กล่าว “และยังมีคุณลักษณะที่โน้มเอียงไปในทาง centralization อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากคนขุด เหรียญที่ได้พลังงานราคาถูกที่สุดจะกลายเป็นผู้มีส่วนได้เสียหลัก ในปี 2021 นี้เราจะยังคงได้เห็นนวัตกรรมทางเทคนิคที่จะช่วยพัฒนาบล็อกเชนเช่น XRPL ที่ใช้เทคโนโลยีที่ใหม่กว่า”
เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและปรับปรุงปริมาณการใช้พลังงาน เขาคาดว่าจะมีจำนวนบล็อกเชนมากขึ้นที่เล็งเห็นถึงการ migrate ของ Ethereum และมองหาวิธีการสร้างบล็อกเชนแบบ carbon neutral เช่น XRPL
สำหรับผู้ที่คงสถานะ carbon neutral ได้ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงบวกอย่างมหาศาล ตารางการเปรียบเทียบการใช้พลังงานโดยการทำธุรกรรมผ่าน XRP เมื่อเทียบกับ bitcoin บัตรเครดิต หรือแม้กระทั่งเงินสด ยิ่งช่วยย้ำศักยภาพของมันที่มีต่อวงการ
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ริปเปิลยังได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่สำคัญในปี 2020 เมื่อเขาได้กลายเป็นบริษัทบล็อกเชนแห่งแรกที่มุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรปลอดคาร์บอน (carbon neutral) ริปเปิลเปิดตัว โครงการริเริ่มมากมายเพื่อมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้ภายในปี 2030
มุ่งเน้นที่ผลกระทบ
Monica Long ผู้จัดการทั่วไปของ RippleX คาดการณ์ว่าพันธกิจนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆ ในปีนี้
“ในปี 2021 เราจะเห็นคริปโตทำตามคำสัญญาเดิมที่ให้ไว้ว่าจะสร้างรูปแบบการเงินใหม่ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และเป็นธรรมต่อผู้ด้อยโอกาสในโลกมากขึ้น” Long กล่าว
เพื่อช่วยให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าวได้สำเร็จ คริปโตจะต้องช่วยยกระดับการแข่งขัน โดยการเปิดประตูสู่ฟินเทคที่เพิ่มขุมพลังให้กับผู้บริโภค บริษัทที่นำเสนอบริการที่ใช้งานและเข้าใจง่าย ปลอดภัย มั่นคง และรักษาความเป็นส่วนตัว มีความสามารถในการทำงานร่วมกันทั่วโลก ช่วยให้ผู้คนสร้างความมั่งคั่ง และบรรลุความคล่องตัวทางเศรษฐกิจและสังคมได้จะกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด
Long คาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะมาจากการลงทุนของผู้ให้บริการทางการเงินที่เป็นที่ยอมรับ และในประเทศกำลังพัฒนาทั่วทวีปตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และแอฟริกาแถบซาฮาราที่ได้ยอมรับเส้นทางการเงิน แบบดิจิทัลแล้ว ส่วนสำหรับประเทศที่ก้าวข้ามธนาคารแบบดั้งเดิมและเครือข่ายบัตรเครดิตและหันไปหาบริการบนมือถือ คริปโตคือก้าวต่อไปที่สมควรให้ความสนใจ
กล่าวโดยสรุป หนึ่งปีข้างหน้านี้จะเป็นหนึ่งในปีแห่งการเติบโตทั่วทั้งกระดานสำหรับบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ในขณะที่การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลให้การเติบโตทั่วโลกชะลอตัวลง แต่กลับกลายเป็นปีทองของเหรียญยูทิลิตี้และเป็นโอกาสดีสำหรับการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ และเป็นตัวจุดประกายการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในปี 2021
A1768
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ