- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Friday, 25 December 2020 00:47
- Hits: 20486
EIC คาด ดอกเบี้ยนโยบายคงที่ 0.5% ต่อเนื่องในปีหน้า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดไม่รุนแรงขึ้นมากจนต้องมีการปิดเมืองเป็นวงกว้าง
• กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อปี พร้อมทั้งประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้หดตัว -6.6% และจะกลับมาขยายตัวที่ 3.2% และ 4.8 ในปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ
• EIC มองว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อเนื่องในปี 2021 เนื่องจาก 1) แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวแต่เป็นไปอย่างช้าๆ และไม่ทั่วถึง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนสูง 2) ภาระหนี้ของทั้งครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นมาก และ 3) แรงกดดันทางเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำในปี 2021
• อย่างไรกีดี ธปท. มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน ผ่านเครื่องมืออื่นๆ ได้ เพื่อให้สภาพคล่องในระบบที่มีอยู่ในระดับสูงกระจายตัวไปสู่กลุ่มธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ เช่น การผ่อนคลายเกณฑ์ของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) มาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิต การผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลในวงกว้าง รวมถึงการคงมาตรการ BSF และ MFLF
• การที่ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ จับตาการบิดเบือนค่าเงิน (Monitoring List) อาจทำให้ ธปท. เผชิญข้อจำกัดในการดูแลค่าเงินบาทมากขึ้นในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม จากการกลับมาระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในประเทศไทย ซึ่งทำให้ความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไทยสูงขึ้น EIC จึงคงมุมมองค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่ 29.5-30.5 ณ สิ้นปี 2021
กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อปี พร้อมทั้งประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้หดตัว -6.6% และจะกลับมาขยายตัวที่ 3.2% และ 4.8 ในปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 23 ธันวาคม 2020 กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อปี และประเมินเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนสูง โดยในระยะสั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ขณะที่ในระยะถัดไปขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประสิทธิผลและการกระจายวัคซีนป้องกัน COVID-19 และพัฒนาการของตลาดแรงงานซึ่งยังมีจำนวนผู้ว่างงานและเสมือนว่างงานอยู่ในระดับสูง กนง. จึงคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่มีจำกัดเพื่อใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิผลสูงสุด
• เศรษฐกิจไทยในปี 2020 จะหดตัว -6.6% ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิมที่ -7.8% จากการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวน้อยลงที่ -1.4% (จากเดิมหดตัวที่ -3.5%) การส่งออกสินค้าที่หดตัวลดลงเป็น -7.4% (จากเดิมหดตัวที่ -8.2%) และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถูกประเมินว่าจะอยู่ที่ 6.7 ล้านคน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานยังเท่ากับกับประมาณการครั้งก่อนที่ -0.9% และ 0.3% ตามลำดับ
• เศรษฐกิจไทยในปี 2021 จะกลับมาขยายตัวได้ที่ 3.2% ปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 3.6% ส่วนในปี 2022 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ 4.8% โดยประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2021 ที่ปรับลดลงมีปัจจัยสำคัญมาจากการปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาอยู่ที่ 5.5 ล้านคน (จากเดิม 9 ล้านคน) แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะกลับมาฟื้นตัวชัดเจนในปี 2022 ที่ 23 ล้านคน เศรษฐกิจไทยจึงขยายตัวสูงในปีดังกล่าว ซึ่งทำให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของ COVD-19 ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี 2021 ที่ 1% และจะอยู่ใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายตลอดช่วงประมาณการ
• ทั้งนี้ตัวเลขการประมาณการดังกล่าวอยู่ภายใต้สมติฐานที่ว่า
- ภาครัฐสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในรอบล่าสุดได้และมีการดำเนินมาตรการปิดเมืองเฉพาะบางพื้นที่
- ประเทศเศรษฐกิจหลักได้รับวัคซีนมากกว่า 30% ของประชากรในไตรมาส 2 ปี 2021 ส่วน 20% ของประชากรไทยจะได้รับวัคซีนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2021
- ไทยจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน (แต่ต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีนและการตรวจเชื้อ) โดยไม่ต้องกักตัว ในไตรมาส 2 ปี 2021
- ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทยได้รับวัคซีนจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 และไทยเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขการฉีดวัคซีนและการกักตัว
กนง. ประเมินว่าสภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูงแต่ยังกระจายตัวไม่ทั่วถึง และมีความกังวลต่อเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดย กนง. ประเมินว่าธุรกิจและครัวเรือนบางส่วนที่ต้องการสภาพคล่องยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวผันผวนสอดคล้องกับเงินสกุลภูมิภาค ทั้งนี้ กนง. กังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเร็วจากสภาวะเปิดรับความเสี่ยงของนักลงทุน (risk-on sentiment) และแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเห็นควรให้ติดตามอย่างใกล้ชิดและพิจารณาความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม รวมถึงผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของอัตราแลกเปลี่ยน (FX ecosystem) อย่างต่อเนื่อง
มาตรการภาครัฐและการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยนโยบายการเงินต้องผ่อนคลายต่อเนื่อง มาตรการทางการเงินและสินเชื่อควรเร่งกระจายสภาพคล่องไปสู่ผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ตรงจุดและทันการณ์ อาทิ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลในวงกว้าง ขณะที่มาตรการทางการคลังต้องพยุงเศรษฐกิจโดยไม่ขาดช่วง โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ควบคู่กับดำเนินการนโยบายด้านอุปทานเพื่อปรับรูปแบบธุรกิจและยกระดับทักษะแรงงาน ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
กนง. ยังคงให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน รวมถึงติดตามความเพียงพอของมาตรการภาครัฐและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศ สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า กนง. พร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากจำเป็น
EIC มองว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อเนื่องในปี 2021 เนื่องจาก
1. แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวแต่เป็นไปอย่างช้าๆ และไม่ทั่วถึง รวมถึงยังมีความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนสูง โดย กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวเพียง 3.2% และมีความเสี่ยงด้านต่ำอยู่มาก ประกอบกับมุมมองของ EIC ที่ประเมินว่า รอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจจะยังส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย สะท้อนจากการเปิดกิจการที่น้อยลง การปิดกิจการที่มากขึ้น และภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงเปราะบางจากการว่างงานที่ยังคงสูง ชั่วโมงการทำงานที่ต่ำ และจำนวนแรงงานนอกระบบที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจึงจะเป็นไปอย่างช้าๆ
2. ภาระหนี้ของทั้งครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นหลังเผชิญวิกฤต โดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2 ปี 2020 อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 83.8% ต่อ GDP ขณะที่ข้อมูลของ IIF ก็บ่งชี้ว่าหนี้ภาคธุรกิจปรับสูงขึ้นเช่นกัน จึงทำให้ในระยะต่อไป ครัวเรือนและธุรกิจจะต้องซ่อมแซมงบดุลที่อ่อนแอลง ส่งผลให้การใช้จ่ายและการลงทุนมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ดังนั้น ระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายในระบบเศรษฐกิจ
3. แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำในปี 2021 โดยอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ ณ ระดับต่ำกว่าระดับเป้าหมายต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2021
อย่างไรกีดี ธปท. มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน ผ่านเครื่องมืออื่นๆ ได้ ดังนี้
• ผ่อนคลายเกณฑ์ของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) เพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินปล่อยกู้มากขึ้น โดยในปัจจุบันผู้ที่สามารถเข้าถึงมาตรการสินเชื่อ soft loan มีค่อนข้างต่ำ จากข้อมูลล่าสุดมียอดอนุมัติสินเชื่อเพียง 1.2 แสนล้านบาทจากวงเงินทั้งหมด 5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะสินเชื่อที่มีวงเงินน้อยมีอัตราการเข้าถึง soft loan ที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ การขยายตัวของสินเชื่อของ SMEs ก็ยังหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถาบันการเงินไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะปล่อยกู้ ดังนั้น ธปท. จึงมีแนวโน้มที่จะออก พ.ร.ก. soft loan ฉบับใหม่เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดของมาตรการเดิม โดยกฏเกณฑ์ที่อาจถูกปรับได้ เช่น
- การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยกู้ จากระดับปัจจุบันที่ 2%
- การปล่อยกู้ร่วมกับ ธ.พ. ให้แก่ SMEs
- การขยายวงเงินกู้ จากเดิมที่กู้ได้ไม่เกิน 20% ของยอดสินเชื่อคงค้าง
- การขยายวงเงินค้ำประกันโดย บสย.
• คงมาตรการกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) และมาตรการช่วยเหลือกองทุนรวมที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องในตลาดการเงิน (MFLF) โดยสองมาตราการนี้เป็นมาตรการประเภทหลังพิง (Backstop) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง นอกจากนี้ หากนักลงทุนเกิดความกังวลสูง (panic) จนทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์อย่างรวดเร็วและตลาดการเงินขาดสภาพคล่อง มาตรการข้างต้นนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ทั้งแก่ภาคธุรกิจและกองทุนรวมตราสารหนี้
• อย่างไรก็ดี โอกาสในการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) และดำเนินมาตรการโกดังพักหนี้ (Warehousing) มีน้อยลงภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน โดยจากการสื่อสารของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ยังมีความสามารถที่จะจัดการสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ได้ แม้ว่ายอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพจะปรับสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ธปท. ยังมองว่ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้ดำเนินไปตั้งแต่ต้นปีช่วยแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่า สะท้อนจากยอดหนี้ของธนาคารพาณิชย์ที่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้หลังจากมาตรการพักหนี้สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมสูงถึง 66% ของยอดหนี้ทั้งหมด ในขณะที่อีก 32% อยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้เป็นรายกรณี และมีเพียงแค่ 2% เท่านั้นที่ยังไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่ง ธปท. ได้มีการเร่งรัดให้ธนาคารพาณิชย์ติดต่อดูแลโดยเร็ว
ทั้งนี้หากการระบาดของ COVID-19 ในไทยล่าสุดส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรงกว่าที่ กนง. ประเมินไว้ในรอบนี้ ก็มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลงได้อีก 1 ครั้ง (0.25%) สำหรับในกรณีฐาน EIC ประเมินว่าการระบาดของ COVID-19 จะยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ทำให้ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการปิดเมืองอย่างเข้มงวดเหมือนในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มไม่หดตัวรุนแรงเท่ากับในช่วงดังกล่าว ดังนั้น กนง. จึงน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาขีดความสามารถในการผ่อนคลายนโยบายการเงินไว้ (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจในอนาคตที่อาจมาจากการระบาดที่รุนแรงขึ้น หรือประสิทธิภาพและความสามารถในการแจกจ่ายวัคซีนน้อยกว่าคาด เป็นต้น อย่างไรก็ดี หากการแพร่ระบาดยังไม่ทุเลาลงและจำเป็นต้องมีการออกมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดขึ้นมากและเป็นวงกว้าง (nation-wide lockdown) ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าฟื้นตัวช้ากว่าที่ กนง. และ EIC ประเมินไว้ในกรณีฐาน ซึ่งอาจทำให้มีการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้อีก 1 ครั้ง (0.25%)
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามเข้าข่ายประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า (currency manipulator) ส่วนไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตา (Monitoring List) โดยสวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามเข้าเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ดังนี้
1. เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ตั้งแต่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป ในรอบ 1 ปี
2. ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่า 2% ของ GDP ในรอบ 1 ปี
3. ธนาคารกลางแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า 2% ต่อ GDP และแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยน 6 เดือนขึ้นไปจากในรอบ 12 เดือน
สำหรับประเทศที่เข้าเงื่อนไขจาก 2 ใน 3 จะถูกระบุให้เป็นกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ จับตา ซึ่งในรายงานครั้งนี้สหรัฐฯ ได้เพิ่ม ไทย อินเดีย และไต้หวัน เข้าไปอยู่ในกลุ่มดังกล่าว จากเดิมที่มี จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย เยอรมนี และอิตาลี โดยในกรณีของไทยรายงานระบุว่า ตั้งแต่สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 2.2 หมื่นล้านบาท มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่ 6.3% ของ GDP และมีการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า 6 เดือน อย่างไรก็ดี ปริมาณการแทรกแซงยังอยู่ที่ 1.8% ของ GDP เป็นผลให้ไทยเข้าเงื่อนไขเพียง 2 ข้อแรกเท่านั้น จึงยังไม่ถูกจัดเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงิน (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 : เงื่อนไขของการถูกจัดเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า (currency manipulator)
1) เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 2 หมื่น ล้านดอลลาร์ |
2) เกินดุลบัญชีเดินสะพัด มากกว่า 2% ของ GDP |
3) แทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน |
Monitoring List | |||
มากกว่า 2% ของ GDP |
มากกว่า 6 เดือนจาก 12 เดือน |
รายงาน ม.ค. 2020 |
รายงาน ธ.ค. 2020 |
|||
จีน |
310 |
1.1 |
-0.1 |
น้อยกว่า 6 เดือน |
X |
X |
เยอรมนี |
62 |
6.8 |
- |
- |
X |
X |
เวียดนาม |
58 |
4.6 |
5.1 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
บิดเบือนค่าเงิน |
ญี่ปุ่น |
57 |
3.1 |
0.0 |
น้อยกว่า 6 เดือน |
X |
X |
ไอร์แลนด์ |
55 |
-5.5 |
- |
- |
X |
X |
สวิตเซอร์แลนด์ |
49 |
8.8 |
14.2 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
บิดเบือนค่าเงิน |
อิตาลี |
30 |
3.0 |
- |
- |
X |
X |
มาเลเซีย |
29 |
2.5 |
1.1 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
X |
ไต้หวัน |
25 |
10.9 |
1.7 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
X |
ไทย |
22 |
6.3 |
1.8 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
X |
อินเดีย |
22 |
0.4 |
2.4 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
X |
เกาหลีใต้ |
20 |
3.5 |
-0.6 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
X |
สิงคโปร์ |
-1 |
16.1 |
21.3 |
มากกว่า 6 เดือน |
X |
X |
หมายเหตุ : X = ประเทศดังกล่าวถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่สหรัฐฯ จับตา (Monitoring list)
ที่มา : รายงานการประเมินนโยบายเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ
ประเทศที่ถูกระบุว่ามีการบิดเบือนค่าเงินมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้าได้ แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่ถูกจัดเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงิน แต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างมากในรายงานครั้งถัดไป (ปกติจะเผยแพร่ทุกๆ 6 เดือน) โดยสหรัฐฯ จะมีมาตรการตอบโต้ต่อประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงินดังนี้
• หากประเทศดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขสถานะบิดเบือนค่าเงินภายใน 1 ปีหลังจากที่ถูกกล่าวหา สหรัฐฯ อาจปรับเงื่อนไขของนโยบายทางการค้า และจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
1. ไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนของ The Overseas Private Investment Corporation ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐของสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่ช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนา
2. ไม่สามารถทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับสินค้าและบริการกับสหรัฐฯ
3. ให้ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีหรือภูมิภาคอีกครั้ง
4. ให้ IMF ดำเนินการติดตามนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเข้มงวดมากขึ้น
• นอกจากนี้ สหรัฐฯ อาจพิจารณาดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้าผ่านการขึ้นภาษีนำเข้า ธุรกิจสหรัฐฯ อาจพิจารณายื่นคำร้องไปยังกระทรวงพาณิชย์ โดยอ้างว่าอุตสาหกรรมของตนได้รับผลจากการทุ่มตลาดของสินค้านำเข้า เนื่องจากสินค้าของประเทศคู่ค้าได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ (ซึ่งการที่รัฐบาลต่างประเทศแทรกแซงให้สกุลเงินของตนอ่อนค่าในที่นี้ ถูกมองว่าเป็นการอุดหนุนประเภทหนึ่ง) เป็นผลให้สหรัฐฯ อาจขึ้นภาษีกับสินค้าดังกล่าวได้ เช่น ในวันที่ 5 พฤศจิกายน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้ายางรถยนต์จากเวียดนามที่อัตรา 6.23%-10.08% เนื่องจากสินค้าดังกล่าวได้เปรียบจากการอ่อนค่าของเงินดอง
อย่างไรก็ดี กระบวนการลงโทษในครั้งนี้จะถูกตัดสินภายใต้รัฐบาลของไบเดน ซึ่งมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศน้อยกว่าทรัมป์
การที่ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ จับตา (Monitoring List) อาจทำให้ ธปท. เผชิญข้อจำกัดในการดูแลค่าเงินบาทมากขึ้นในระยะถัดไป โดยหลังจากที่ไทยถูกจัดอยู่ใน monitoring list เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2020 ค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น 0.7% มาอยู่ที่ราว 29.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในวันต่อมา อย่างไรก็ดี หลังจากที่ไทยเผชิญกับการกลับมาระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ เงินบาทปรับอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วราว 1% มาอยู่ที่ประมาณ 30.2 ณ สิ้นวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ในระยะถัดไป EIC ประเมินว่า ไทยมีความเสี่ยงที่จะเข้าทั้ง 3 เกณฑ์ของสหรัฐฯ และถูกระบุว่าเป็นประเทศที่ทำการแทรกแซงค่าเงินเพื่อความได้เปรียบทางการค้า โดยเงื่อนไขสุดท้ายที่ไทยยังไม่เข้าเกณฑ์คือปริมาณการแทรกแซงเงินบาท ซึ่ง EIC มองว่ามีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะเข้าทั้ง 3 เกณฑ์ของสหรัฐฯ ในรายงานครั้งถัดไป ดังนั้น ธปท. จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการเข้าดูแลค่าเงินบาทในระยะต่อไป รวมถึงการสื่อสารกับกระทรวงการคลังของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม จากการกลับมาระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในประเทศไทย ซึ่งทำให้ความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไทยสูงขึ้น EIC จึงคงมุมมองค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่ 29.5-30.5 ณ สิ้นปี 2021
รูปที่ 1 : ในระยะต่อไป ธปท. จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการดูแลค่าเงินบาท รวมถึงการสื่อสารกับกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เนื่องจากอาจเข้าเกณฑ์ด้านการแทรกแซงค่าเงินมากกว่า 2% ต่อ GDP
ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ United States Census Bureau และธนาคารแห่งประเทศไทย
บทวิเคราะห์จาก... https://www.scbeic.com/th/detail/product/7290
ผู้เขียนบทวิเคราะห์ :
ดร. กําพล อดิเรกสมบัติ ([email protected])
ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
วชิรวัฒน์ บานชื่น ([email protected])
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
พงศกร ศรีสกาวกุล ([email protected])
นักวิเคราะห์
Economic Intelligence Center (EIC)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
EIC Online: www.scbeic.com
A12842
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ