- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Friday, 10 July 2020 00:06
- Hits: 6325
ฟันธง! ทองคำขึ้นแท่นพระเอกเนื้อหอม มูลค่าดอลลาร์ด้อยค่าในระยะยาว
ภาวะซัพพลายล้นตลาดกดดันมูลค่าของดอลลาร์ระยะยาวด้อยค่าลง แม้ความต้องการเงินดอลลาร์ในระยะสั้นยังมีอยู่ เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจและพยุงตลาดการเงิน ทำให้ระยะสั้นเห็นแรงเทขายทองคำออกบ้าง แต่ระยะยาวหากการแก้ไขเศรษฐกิจบรรเทาลง ความต้องการเงินดอลลาร์ที่ลดลง เป็นปัจจัยหนุนทองคำให้ปรับตัวขาขึ้นได้ มองแนวต้านต่อไปที่ 1,861ดอลลาร์
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่สามารถยืนเหนือระดับ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นแนวต้านสำคัญในรอบ 8 ปี บ่งบอกถึงความต้องการทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จะอ่อนค่าลงในระยะยาว ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นแทน
“จากกราฟเทคนิคบ่งบอกว่าแนวต้านต่อไปของทองคำจะอยู่ที่ 1,861 ดอลลาร์สหรัฐ ตามแนว Fibonacci หากผ่านไปได้การที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือระดับ 1,921 ดอลลาร์สหรัฐ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนระยะสั้นแนวรับจะอยู่ที่ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นแนวต้านที่สามารถ Breakout ในกรอบไซด์เวย์ตั้งแต่กลางเดือนเมษายนขึ้นมาได้”
อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมาหลังวิกฤติ Black Thursday ราคาทองคำมีการความผันผวนในระดับสูงและมักถูกเทขายพร้อมกับตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีความจำเป็นในการเข้ามาพยุงความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน เช่น การที่ธนาคารกลางเข้าซื้อสินทรัพย์และหนี้สินต่างๆ รวมถึงการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ระยะสั้นเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงไม่ได้มากนัก
แต่สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือหากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและตลาดการเงินจบลง เงินดอลลาร์สหรัฐจะมีทิศทางอย่างไรต่อไป เนื่องจากซัพพลายที่มีอยู่จำนวนมหาศาลจากการอัดฉีดสภาพคล่องแบบไม่จำกัดวงเงิน จนทำให้งบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ พุ่งแตะระดับ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจต้องใช้เวลานับสิบปีในการดูดสภาพคล่องเหล่านี้กลับคืน
“เมื่อซัพพลายดอลลาร์สหรัฐ มีมากเกินความต้องการ ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนจะเริ่มมองหาสิ่งที่จะเพิ่มมูลค่าขึ้นในอนาคตนั่นคือ ทองคำ หรืออาจรวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ นี่คือปัจจัยหลักที่จะผลักดันราคาทองคำ”
นอกจากนั้น ไม่นานมานี้ Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Bridgewater ได้ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะด้อยค่าลงในที่สุดและเขายังมองด้วยว่าสหรัฐฯ จำเป็นต้อง Roll Over หรือซื้อหนี้สินของตัวเองไปเรื่อยๆ หากนักลงทุนทั่วโลกพากันขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมา เงินดอลลาร์สหรัฐ จะอ่อนค่าลงจนอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางการเมืองโลกในที่สุด
“Ray Dalio ยังกล่าวด้วยว่าการที่ FED ลดดอกเบี้ยจนทำให้ Risk Free Rate หรือพันธบัตรรัฐมีผลตอบแทน 0.0-0.5% ทั่วโลก ทำให้เงินปันผลจากตลาดทุนและสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ น่าสนใจกว่าถือเงินดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาล”
ตั้งแต่ต้นปี 2563 นี้ ทองคำให้ผลตอบแทน YTD อยู่ที่ 17% ถือเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดหากไม่นับสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ของโลก ยกเว้น NASDAQ ยังให้ผลตอบแทนติดลบ ล่าสุดสภาทองคำโลก เปิดเผยว่า กองทุน ETF ทองได้เพิ่มการถือครองทองจำนวน 734 ตันในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณว่ามีความต้องการทองคำเพิ่มมากขึ้นจริง
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศต้องจับตาค่าเงินบาทว่าจะไปในทิศทางไหน ซึ่งตอนนี้แม้จะออกไปทางอ่อนค่า และส่งผลดีต่อราคาทองคำในประเทศ แต่สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง หากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอาจทำให้ค่าเงินบาทภายในประเทศแข็งค่าขึ้นได้
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนในทองคำ กลยุทธ์ที่เหมาะสมในตอนนี้ คือซื้อเมื่อจังหวะย่อตัว (Buy On Dip) เนื่องจากภาพทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานของทองคำในระยะกลางถึงยาวเป็นขาขึ้น แต่ระยะสั้นอาจจะมีการเทขายออกมาเป็นระยะ จึงแนะนำให้เข้าซื้อในช่วงจังหวะที่ราคาย่อตัวลงมากกว่าไปเก็งกำไรช่วงที่ราคาขึ้นไปแรงๆ
“ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมทั้งการลงทุนในระยะยาวเห็นได้จากผลตอบแทนย้อนหลังสามปีที่สามารถทำได้ถึง 40% รวมถึงสามารถเก็งกำไรระยะสั้นได้ด้วยการใช้ฟิวเจอร์ส อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนในทองคำ อย่านำเงินทั้งหมดมาลง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง แนะนำว่าลงทุนได้ตั้งแต่ 10-15% ของพอร์ตทั้งหมด”
AO7255
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web