WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ธ.สแตนดาร์ดฯ มองต่างคาดปี 58 GDP มีโอกาสโตถึง 6% เหตุศก.ไทยมีความพร้อมมากที่สุด

    น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) คาดว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะเติบโตได้ถึง 6% ซึ่งสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดไว้ว่าจะเติบโตได้ 4.8% โดยเหตุที่ธนาคารฯ มองการเติบโตที่ต่างจาก ธปท.มากนั้น เพราะเชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ช่วงที่มีความพร้อมมากที่สุด หลังจากที่ในปีนี้ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนรวมทั้งนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่จะขยายการลงทุนด้านต่างๆ ซึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) จะเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า โดยรัฐบาลใหม่ยังได้มีการเตรียมวางนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไป

    ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยเองนั้น มองว่า ภาคธุรกิจเอกชนมีความเข้มแข็ง ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยเองก็มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว เพียงแต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น วิกฤติซับไพรม์ของสหรัฐ, ปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ และปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ถึงปีละ 4.5-5.0% ดังนั้นการเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดที่เริ่มทยอยเกิดขึ้นในปีนี้แล้ว จึงทำให้เชื่อว่าในปีหน้าประเทศไทยจะมีความพร้อมมากที่สุด และมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้สูงถึง 6% จากในปีนี้ที่คาดว่าจะโตได้ 2.7%

    น.ส.อุสรา กล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าว่า จากที่ ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะโตได้ถึง 4.8% จึงไม่มีเหตุผลใดที่ ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.00% ในปัจจุบัน ซึ่ง ธปท.ไม่มีความจำเป็นจะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินมากอย่างที่ผ่านมาแล้ว โดยคาดว่าปีหน้า ธปท.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายราว 0.50% แต่จะเป็นการทยอยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ขณะเดียวกันเชื่อว่าจากนี้ไปนโยบายทางการคลังจะเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมากว่า เพราะเกิดผลได้เร็วและแรงกว่านโยบายทางการเงิน

   "นโยบายการคลังจะมีบทบาทมากขึ้น และมีกำลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากว่านโยบายการเงิน ทั้งในแง่ความเร็วและความแรง เพราะฉะนั้นการที่นโยบายการคลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็จะได้เห็นเศรษฐกิจไทยที่ jump start โดยเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้เร็วตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/57 เป็นต้นไป คาดว่าน่าจะโตได้มากกว่า 4%" น.ส.อุสรา กล่าว

    ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในปีหน้า คาดว่ามีโอกาสจะแข็งค่าไปอยู่ที่ระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ เป็นผลมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทำให้คาดว่านักลงทุนจะกลับมาเพิ่ม position ในการถือเงินบาทและขายดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ากว่าปีนี้ ประกอบกับเม็ดเงินลงทุนจาก FDI ที่จะเข้ามาอย่างจริงจังมากขึ้นเพื่อขยายกำลังการผลิตในประเทศไทย จึงทำให้เชื่อว่าปีหน้าเงินบาทมีโอกาสจะแตะระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ได้

   ด้าน มร.เอ็ดเวิร์ด ลี Head, ASEAN Macro Research ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ประเมินว่า ในปี 58 เศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ราว 3.4% ซึ่งเติบโตขึ้นจากในปีนี้ที่คาดว่าจะโตได้ 3.0% โดยปีหน้าจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้นของทิศทางเศรษฐกิจในแต่ละประเทศรายใหญ่

     โดยคาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตได้ราว 2.6% จาก 2.2% ในปีนี้ โดยเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มมีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้นจนถึงระดับที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ตัดสินใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะเป็นช่วงกลางปีหน้า แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปจนอยู่ใกล้เคียงระดับ 1.00% ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างไม่เร็วและแรงนี้ เชื่อว่าเฟดยังคำนึงว่าคุณภาพการจ้างงานในสหรัฐยังไม่ดีพอ แม้อัตราการว่างงานในสหรัฐฯจะลดลงเหลือราว 6% ก็ตาม แต่การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นนั้นกลับเป็นการจ้างแรงงานคุณภาพต่ำ ขณะที่ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งหมายถึงคุณภาพการฟื้นตัวในภาคแรงงานยังไม่แข็งแกร่งพอ

    ส่วนเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปปีหน้า คาดว่าจะเติบโตได้ 1.5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโตได้ 0.7% โดยยุโรปยังต้องเผชิญปัญหาที่ท้าทายหลายเรื่อง เช่น การลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งเป็น sentiment จากกรณีปัญหาระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยเฉพาะด้านพลังงานที่ยุโรปต้องพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียจำนวนมาก ซึ่งการเศรษฐกิจยุโรปยังอยู่ในภาวะกระท่อนกระแท่นนี้ จะทำให้หลายประเทศในยุโรปเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และมีแนวโน้มจะเพิ่มการใช้นโยบายทางการเงินมากขึ้น

    "อียูจำเป็นต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาเพิ่มเติม ในขณะที่สหรัฐฯ เองกำลังเตรียมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นี่คือความแตกต่างทางเศรษฐกิจที่จะเห็นได้ชัดเจนในปีหน้า" มร.เอ็ดเวิร์ด กล่าว

   ส่วนประเทศจีนนั้นคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะโตได้ราว 7.4% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโตได้ 7.7% โดยเศรษฐกิจจีนเริ่มจะเข้าสู่ความสมดุลย์ ซึ่งจากนี้ไปเชื่อว่าเศรษฐกิจของจีนจะมีการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพราะเมื่อจีนหาสมดุลย์ทางเศรษฐกิจเจอแล้ว จีนก็คงจะใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่น่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงกลางปีหน้า หรือการที่ธนาคารพาณิชย์จะเร่งขยายสินเชื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียนั้น จะมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ซึ่งแม้ปีหน้าเศรษฐกิจในเอเชียจะไม่ถึงขั้นบูมแต่เชื่อว่าจะยังขยายตัวดีขึ้นได้

    ด้าน น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) คาดว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะเติบโตได้ถึง 6% ซึ่งสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดไว้ว่าจะเติบโตได้ 4.8% โดยเหตุที่ธนาคารฯ มองการเติบโตที่ต่างจาก ธปท.มากนั้น เพราะเชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ช่วงที่มีความพร้อมมากที่สุด หลังจากที่ในปีนี้ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนรวมทั้งนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่จะขยายการลงทุนด้านต่างๆ ซึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) จะเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า โดยรัฐบาลใหม่ยังได้มีการเตรียมวางนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไป

   ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยเองนั้น มองว่าภาคธุรกิจเอกชนมีความเข้มแข็ง ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยเองก็มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว เพียงแต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น วิกฤติซับไพรม์ของสหรัฐ, ปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ และปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ถึงปีละ 4.5-5.0% ดังนั้นการเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดที่เริ่มทยอยเกิดขึ้นในปีนี้แล้ว จึงทำให้เชื่อว่าในปีหน้าประเทศไทยจะมีความพร้อมมากที่สุด และมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้สูงถึง 6% จากในปีนี้ที่คาดว่าจะโตได้ 2.7%

     น.ส.อุสรา กล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าว่า จากที่ ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะโตได้ถึง 4.8% จึงไม่มีเหตุผลใดที่ ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.00% ในปัจจุบัน ซึ่ง ธปท.ไม่มีความจำเป็นจะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินมากอย่างที่ผ่านมาแล้ว โดยคาดว่าปีหน้า ธปท.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายราว 0.50% แต่จะเป็นการทยอยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ขณะเดียวกันเชื่อว่าจากนี้ไปนโยบายทางการคลังจะเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมากว่า เพราะเกิดผลได้เร็วและแรงกว่านโยบายทางการเงิน

    "นโยบายการคลังจะมีบทบาทมากขึ้น และมีกำลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากว่านโยบายการเงิน ทั้งในแง่ความเร็วและความแรง เพราะฉะนั้นการที่นโยบายการคลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็จะได้เห็นเศรษฐกิจไทยที่ jump start โดยเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้เร็วตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/57 เป็นต้นไป คาดว่าน่าจะโตได้มากกว่า 4%" น.ส.อุสรา กล่าว

  ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในปีหน้า คาดว่ามีโอกาสจะแข็งค่าไปอยู่ที่ระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ เป็นผลมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทำให้คาดว่านักลงทุนจะกลับมาเพิ่ม position ในการถือเงินบาทและขายดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ากว่าปีนี้ ประกอบกับเม็ดเงินลงทุนจาก FDI ที่จะเข้ามาอย่างจริงจังมากขึ้นเพื่อขยายกำลังการผลิตในประเทศไทย จึงทำให้เชื่อว่าปีหน้าเงินบาทมีโอกาสจะแตะระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ได้

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!