เงินบาทแข็งสุดรอบ 30 เดือน ... ขณะที่ ปัจจัยพื้นฐานอาจทำให้ยังมีโอกาสแข็งค่าได้ต่อในระยะใกล้
- Details
- Category: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- Published: Friday, 25 May 2018 11:31
- Hits: 983
เงินบาทแข็งสุดรอบ 30 เดือน ... ขณะที่ ปัจจัยพื้นฐานอาจทำให้ยังมีโอกาสแข็งค่าได้ต่อในระยะใกล้
เงินบาทแข็งค่าทะลุระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ มาที่ 32.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งนับเป็นสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 30 เดือน ทั้งนี้ สถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นภาพที่สอดคล้องกับกระแสการแข็งค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย เพราะมี �สาเหตุหลักร่วมกัน� จากทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งในช่วงนี้ขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม หลังจากตลาดทยอยรับรู้โอกาสของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธ.ค. ที่จะถึงนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในทางกลับกัน ปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์ฯ กลับมีเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะแผนปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ระหว่างการหาข้อสรุปร่วมกันในสภาคองเกรส นอกจากเงินดอลลาร์ฯ จะขาดปัจจัยบวกแล้ว หากกลับมามองปัจจัยในฝั่งของเงินบาท ก็คงต้องยอมรับว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอย่างต่อเนื่องของไทย นับเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างสำคัญที่หนุนให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบที่แข็งค่า (เพราะการใช้จ่ายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่มีผลต่อเนื่องให้การฟื้นตัวของการนำเข้ายังคงอยู่ในกรอบจำกัด) ด้วยเช่นกัน
สถานการณ์เงินบาทในระยะใกล้ๆ นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทอาจจะยังมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่แข็งค่ากว่าระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคาดว่า ทิศทางของค่าเงินบาทในไตรมาสสุดท้ายของปี ยังน่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่สอดคล้องกับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ สถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติก็อาจจะทยอยชะลอลงในช่วงนับถอยหลังเข้าสู่ช่วงสิ้นปี อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังคงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด จะเป็นเรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับการผลักดันแผนปฎิรูปภาษีของสหรัฐฯ ในสภาคองเกรส ตลอดจนสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในปีหน้า
ปัจจัยที่กำหนดทิศทางของเงินบาทในปีหน้านั้น มองว่า ปัจจัยพื้นฐานจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังมีโอกาสเกินดุลต่อเนื่อง (ที่ประมาณ 38.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ตามตัวเลขคาดการณ์ของธปท.) อาจจะยังคงเป็นปัจจัยหนุนทิศทางเงินบาท เพราะแม้เงินดอลลาร์ฯ จะยังมีโอกาสกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปีข้างหน้า ตามสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและทยอยลดงบดุล และอาจมีแรงหนุนเพิ่มเติมหากแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้ แต่คงต้องยอมรับว่า ปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ฯ ทั้ง 2 เรื่องนั้น ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่อง �จังหวะเวลา� ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในระหว่างปี และช่วงเวลาที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนของการเดินหน้าได้จริงแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ดังนั้น ความผันผวนของสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์ฯ จึงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ภาคธุรกิจจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่ การเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาทิ สัญญาฟอร์เวิร์ด และออปชั่น คงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถประเมิน/รับรู้/บริหารจัดการรายได้จากการส่งออก (หรือรับรู้ต้นทุนนำเข้าในช่วงที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า) ที่มีความแน่นอนมากขึ้น
เงินบาทแข็งค่าทะลุระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ มาที่ 32.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งนับเป็นสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 30 เดือน ทั้งนี้ สถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นภาพที่สอดคล้องกับกระแสการแข็งค่าของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย เพราะมี �สาเหตุหลักร่วมกัน� จากทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งในช่วงนี้ขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม หลังจากตลาดทยอยรับรู้โอกาสของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธ.ค. ที่จะถึงนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในทางกลับกัน ปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์ฯ กลับมีเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะแผนปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ระหว่างการหาข้อสรุปร่วมกันในสภาคองเกรส นอกจากเงินดอลลาร์ฯ จะขาดปัจจัยบวกแล้ว หากกลับมามองปัจจัยในฝั่งของเงินบาท ก็คงต้องยอมรับว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอย่างต่อเนื่องของไทย นับเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างสำคัญที่หนุนให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบที่แข็งค่า (เพราะการใช้จ่ายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่มีผลต่อเนื่องให้การฟื้นตัวของการนำเข้ายังคงอยู่ในกรอบจำกัด) ด้วยเช่นกัน
สถานการณ์เงินบาทในระยะใกล้ๆ นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทอาจจะยังมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่แข็งค่ากว่าระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคาดว่า ทิศทางของค่าเงินบาทในไตรมาสสุดท้ายของปี ยังน่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่สอดคล้องกับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ สถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติก็อาจจะทยอยชะลอลงในช่วงนับถอยหลังเข้าสู่ช่วงสิ้นปี อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังคงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด จะเป็นเรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับการผลักดันแผนปฎิรูปภาษีของสหรัฐฯ ในสภาคองเกรส ตลอดจนสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในปีหน้า
ปัจจัยที่กำหนดทิศทางของเงินบาทในปีหน้านั้น มองว่า ปัจจัยพื้นฐานจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังมีโอกาสเกินดุลต่อเนื่อง (ที่ประมาณ 38.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ตามตัวเลขคาดการณ์ของธปท.) อาจจะยังคงเป็นปัจจัยหนุนทิศทางเงินบาท เพราะแม้เงินดอลลาร์ฯ จะยังมีโอกาสกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปีข้างหน้า ตามสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและทยอยลดงบดุล และอาจมีแรงหนุนเพิ่มเติมหากแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้ แต่คงต้องยอมรับว่า ปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ฯ ทั้ง 2 เรื่องนั้น ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่อง �จังหวะเวลา� ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในระหว่างปี และช่วงเวลาที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนของการเดินหน้าได้จริงแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ดังนั้น ความผันผวนของสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์ฯ จึงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ภาคธุรกิจจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่ การเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาทิ สัญญาฟอร์เวิร์ด และออปชั่น คงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถประเมิน/รับรู้/บริหารจัดการรายได้จากการส่งออก (หรือรับรู้ต้นทุนนำเข้าในช่วงที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า) ที่มีความแน่นอนมากขึ้น