- Details
- Category: งานวิจัยเศรษฐกิจ
- Published: Wednesday, 12 July 2023 22:04
- Hits: 1657
PwC ชี้ผู้นำธุรกิจประเมินความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสูงเกินไป
● เก้าในสิบขององค์กรประสบปัญหาการหยุดชะงักครั้งใหญ่หลายครั้ง
● 76% กล่าวว่า ดิสรัปชันส่งผลกระทบปานกลาง/สูงต่อการดำเนินธุรกิจ
● 70% มั่นใจในความสามารถในการฟื้นตัวจากการหยุดชะงัก แต่หลายองค์กรยังขาดความสามารถในการฟื้นตัวขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จ
PwC เผย รายงานผลสำรวจวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรทั่วโลก (Global Crisis and Resilience Survey) ซึ่งทำการสำรวจสองปีต่อครั้งพบว่า องค์กรและผู้นำธุรกิจประเมินความสามารถในการฟื้นตัวสูงเกินไปแม้ว่าจะดำเนินงานในยุคแห่งการหยุดชะงัก (Disruption) ก็ตาม
ทั้งนี้ ข้อมูลจากผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 1,812 รายทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงมุมมองของผู้นำธุรกิจในการเตรียมตัวและรับมือกับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงใบใหม่ โดยเมื่อถามถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วว่าถูกจัดให้เป็นภารกิจสำคัญลำดับที่เท่าใดขององค์กร เก้าในสิบ (89%) ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ความสามารถในการฟื้นตัว ถือเป็นหนึ่งในภารกิจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งบ่งชี้ว่าองค์กรทั่วโลกต่างกำลังปฏิวัติความสามารถในการฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต
หลังจากการเริ่มต้นทศวรรษที่วุ่นวาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เก้าในสิบ (91%) ขององค์กรกล่าวว่า ตนประสบปัญหาการหยุดชะงักอย่างน้อยหนึ่งครั้ง นอกเหนือไปจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รายงานพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วองค์กรต่างๆ ประสบปัญหาการหยุดชะงักถึงสามครั้งครึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา และสามในสี่ (76%) กล่าวว่า การหยุดชะงักที่ร้ายแรงที่สุดสร้างผลกระทบในระดับปานกลางถึงระดับสูงต่อการดำเนินธุรกิจ โดยขัดขวางกระบวนการทางธุรกิจและบริการที่สำคัญ และก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินและชื่อเสียงขององค์กร
สำหรับการหยุดชะงักห้าอันดับแรกที่พบในรายงาน ประกอบไปด้วย การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การรักษาและการสรรหาพนักงาน ห่วงโซ่อุปทาน การหยุดชะงักที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีหรือความล้มเหลว และการโจมตีทางไซเบอร์ อย่างไรก็ดี หากไม่นับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ถือได้ว่าส่งผลกระทบมากที่สุดต่อองค์กรทั้งในแง่การเงินและอื่นๆ และยังได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2562 นอกจากนี้ มากกว่าครึ่ง (60%) ขององค์กรที่ประสบปัญหาการหยุดชะงักของซัพพลายเชนที่รุนแรงที่สุด ยังมีความกังวลมากที่สุดว่า ตนจะต้องเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในลักษณะเดียวกันนี้อีกครั้ง
นาย เดวิด สเทนแบค หัวหน้าร่วม ศูนย์ระดับโลกเพื่อวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว PwC ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ผู้นำธุรกิจกำลังเผชิญกับการหยุดชะงักและความไม่แน่นอนในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน องค์กรต่างๆ กำลังต่อสู้กับแรงผลักดันภายนอกและการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจภายใน และนี่ คือ ความท้าทายที่ทำให้ความสามารถในการฟื้นตัวกลายเป็นหนึ่งในภารกิจเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดในโลกธุรกิจ”
นอกจากนี้ แม้ว่า 70% ของผู้นำธุรกิจจะแสดงความมั่นใจต่อความสามารถในการฟื้นตัวจากการหยุดชะงักต่างๆ ข้อมูลจากผลสำรวจพบว่า หลายๆ องค์กรทั่วโลกยังขาดองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างความสามารถในการฟื้นตัวให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งช่องว่างความเชื่อมั่นนี้ ส่งผลให้องค์กรทั่วโลกต้องอยู่ในความเสี่ยงต่อภัยอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการหยุดชะงักนั้นๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์กร ตรงข้ามกับความท้าทายระดับโลกหรือของภาคส่วนอื่นๆ
ทั้งนี้ ข้อมูลในรายงานผลสำรวจยังเปิดเผยให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญสามประการที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กร ดังต่อไปนี้
● โปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวแบบบูรณาการ (Integration) ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรในวันนี้ เพราะการทำงานแบบไซโลนั้น ไม่เพียงพอต่อการจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันและกันอีกต่อไป ธุรกิจต่างๆ กำลังขับเคลื่อนไปสู่การมีแนวทางการฟื้นตัวแบบบูรณาการที่ควบคุมจากส่วนกลางขององค์กรและมีความสอดคล้องกับความสามารถในการฟื้นตัวหลากหลายด้านเพื่อปกป้องจุดที่สำคัญที่สุด รวมถึงผนวกโปรแกรมเข้ากับการดำเนินธุรกิจและวัฒนธรรมองค์กร
● ธุรกิจจะเติบโตได้ในวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต้องอาศัยผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นำ (Leadership) และทีมงานที่ได้รับการยกระดับทักษะ โดยกลยุทธ์และโปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัย (1) การให้การสนับสนุนจากฝ่ายบริหารระดับสูง (2) ผู้นำโปรแกรมที่มีความรับผิดชอบที่ชัดเจน และ (3) ทีมงานที่มีทักษะในการปฏิบัติงานวันต่อวัน
● มีแนวทางของโปรแกรม (Programme approach) สร้างความสามารถในการฟื้นตัวที่คำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด องค์กรควรต้องสร้างความสามารถในการฟื้นตัว (Operational resilience: OpRes) และมั่นใจได้ว่า การวางแผนและการเตรียมความพร้อมได้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรการปฏิบัติงานที่มีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ผนวกโปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวมากขึ้น ก็มีองค์กรหลายแห่งที่นำหลักของแนวทาง OpRes มาประยุกต์ใช้ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การปกป้องจุดสำคัญที่สุดของธุรกิจและจัดลำดับความสำคัญของการลงทุน โดยคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นี่จึงช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีความน่าเชื่อถือสูง และเสริมสร้างประสิทธิภาพ
สำหรับองค์กรที่มีโปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวแบบบูรณาการนั้น ยังมีความก้าวหน้าในองค์ประกอบหลักอื่นๆ ของ OpRes ซึ่งรวมถึง กระบวนการประเมินความเสี่ยงและภัยคุกคาม การทดสอบ และการทำแผนแสดงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของบริการและกระบวนการ ทำให้บริษัทเหล่านี้มีระบบภูมิคุ้มกันขององค์กรที่เข้มแข็ง ตลอดจนสามารถปรับตัว ยืดหยุ่น และก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง
นางสาว บ๊อบบี้ แรมสเดน-โนลส์ หัวหน้าร่วม ศูนย์ระดับโลกเพื่อวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว PwC ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “ความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองต่อการหยุดชะงัก มีความสำคัญต่อการรักษาความไว้วางใจที่สร้างขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปกป้องคุณค่าและชื่อเสียงของผู้ถือหุ้น ในขณะที่ความคาดหวังต่อความสามารถในการฟื้นตัวของธุรกิจและรัฐบาลอยู่ในระดับสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ฉะนั้น เพื่อสร้างองค์กรที่เชื่อถือได้และมีความคล่องตัว ผู้นำธุรกิจจำเป็นที่จะต้องลงทุนในการสร้างความสามารถในการฟื้นตัวครอบคลุมทุกสายงานและบุคลากร รวมถึงให้ความสำคัญกับแนวทางแบบบูรณาการที่ได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยี เพื่อให้องค์กรเห็นภาพของความเสี่ยงและภูมิทัศน์ด้านการฟื้นตัว”
ด้าน นาย พันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า องค์กรที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ภัยคุกคามทางไซเบอร์ การจัดการความเสี่ยงจากบุคคลภายนอก (Third party risk management) ตลอดการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง (Succession planning) โดยในขณะที่องค์กรชั้นนำหลายแห่งได้มีการวางแผนเพื่อรับสถานการณ์ดังกล่าวไว้บ้างแล้ว แต่องค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง รวมถึงองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้
“ปัญหาขององค์กรไทยที่มักจะพบเจอ คือ ผู้บริหารยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการภาวะวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่ผลประกอบการทางการเงินเป็นหลัก เช่น การสร้างรายได้ หรือลดต้นทุน จึงอยากแนะนำองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น ซึ่งการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำในยุคปัจจุบัน” นาย พันธ์ศักดิ์ กล่าว
“นอกจากนี้ การมีคณะผู้บริหาร หรือคณะทำงานที่มีความเข้าใจในการรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ยังถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการจัดการภาวะวิกฤตและการหยุดชะงักจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยการวางแผน การให้ความร่วมมือของทุกฝ่ายทั่วทั้งองค์กร อีกทั้งจะต้องมีการประเมินผลลัพธ์ที่ได้ และรายงานผลดังกล่าวไปให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปปรับปรุงความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรอย่างต่อเนื่องต่อไป” เขา กล่าว
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาดาวน์โหลดรายงานผลสำรวจ PwC Global Crisis and Resilience Survey 2023 ฉบับเต็มได้ทาง www.pwc.com/crisis-resilience
A7422